I can’t bear cold weather. It depresses me.
(ฉันไม่สามารถทนสภาพอากาศหนาวๆ แบบนี้ได้นะ มันทำให้ฉันรู้สึกหดหู่มาก)
3. I can’t put up with + n./gerund
รูปแบบประโยค คือ I can’t put up with + คำนามหรือกริยาเติม –ing
โดย I can’t put up with นี้ มีความหมายว่า ฉันไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่ไม่เป็นที่น่าพอใจนี้ได้ ซึ่ง put up จะมีความหมายว่า ทน หรือ ยอมรับ เมื่อนำมาอยู่ในประโยค I can’t put up with จึงมีความหมายว่า ฉันไม่สามารถยอมรับ…….ที่ไม่เป็นที่น่าพอใจนี้ได้
ยกตัวอย่างประโยค
I can’t put up with him. He really annoying!
(ฉันทนเขาไม่ไหวจริงๆ นะ เขามันน่ารำคาญจะตาย!)
4. n./gerund + annoys me
รูปแบบประโยคนี้ เปลี่ยนจากการขึ้นต้นด้วย I can’t (ฉันไม่….) ที่เป็นการบอกความรู้สึกโดยเอาตัวเราเป็นที่ตั้งว่าเราไม่พอใจสิ่งไหน เป็นการขึ้นต้นด้วย n./gerund (คำนามหรือคำกริยาเติม –ing) ที่เป็นสิ่งที่ทำให้เรารำคาญแทน แล้วต่อด้วยคำว่า ……. + annoys me ซึ่งมีความหมายว่า ……. + ทำให้ฉันรู้สึกรำคาญ
ยกตัวอย่างประโยค
That TV show really annoys me.
(รายการทีวีรายการนั้นทำให้ฉันรู้สึกรำคาญเสียจริง)
5. n./gerund + bugs me
คำว่า bugs me ในที่นี้แปลว่า รบกวน กวนใจ หรือรำคาญใจ นำมาใช้ในรูปประโยค …… + bugs me หมายถึง …….. นี้ทำให้ฉันรำคาญใจ
ยกตัวอย่างประโยค
Waiting for public transport bugs me.
(การรอคอยรถขนส่งสาธารณะนี้ทำให้ฉันหงุดหงิดใจเป็นบ้า)
6. n./gerund + gets on my nerves
คำว่า nerve มีความหมายว่า เส้นประสาท ส่วน gets on my nerves แปลว่า รู้สึกหงุดหงิด รำคาญ (เป็นการเปรียบเปรยว่าสิ่งนี้มีผลต่อประสาทเรา หรืออีกนัยนึง คือกวนประสาท นั่นเองค่ะ )
ยกตัวอย่างประโยค
The sound of my alarm clock gets on my nerves.
(เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังนี่ มันกวนประสาทฉันจริงๆ)
7. n./gerund + piss me off (Slang)
รูปประโยคนี้ก่อนนำไปใช้ ต้องขอให้แน่ใจนิดหนึ่งว่าเรากำลังพูดกับใครอยู่ เพราะรูปประโยคนี้มีการใช้ศัพท์แสลง คือศัพท์เฉพาะกลุ่ม ไม่เป็นทางการ และอาจทำให้ดูหยาบคาย ไม่มีมารยาท หากนำไปใช้กับกลุ่มเพื่อนเพื่อจะสื่อว่าเราอามณ์เสียหรือทนไม่ไหวแล้วย่อมได้ แต่ถ้าเกิดอยู่ในที่ประชุม พูดกับหัวหน้า หรือกับพูดคนที่อายุมากกว่า ให้ลบประโยคนี้ออกไปเลยค่ะ อย่าพูดเด็ดขาด เดี๋ยวชีวิตจะไม่โอเคนะคะ เพราะ piss me off มีความหมายว่า อารมณ์เสีย อารมณ์ไม่ดี นำมาใช้ในลักษณะประโยค ……. + piss me off (…….นี้ + ทำให้ฉันอารมณ์เสีย)
ยกตัวอย่างประโยค
People who lie all the time piss me off.
(พวกคนขี้โกหกตลอดเวลาทำให้ฉันอารมณ์เสีย!)
8. I can’t stand it when + sentence
ในประโยคแรกของบทความนี้ เราได้เรียนรู้การใช้ I can’t stand + n./gerund ไปแล้ว ซึ่งเป็นการบอกว่าเรารับไม่ได้กับ ……… แต่ในประโยคนี้ คือการบอกว่า เรารับไม่ได้ เมื่อ………. ด้วยรูปแบบประโยค I can’t stand it when + ประโยคอธิบาย
ยกตัวอย่างประโยค
I can’t stand it when people don’t tell the truth.
(ฉันรับไม่ได้เวลาที่คนไม่พูดความจริง)
9. I can’t bear it when…
เช่นเดียวกันกับการใช้ประโยคนี้ เพียงแค่เปลี่ยนจาก I can’t stand it เป็น I can’t bear it แล้วต่อด้วย ประโยคอธิบาย ก็จะเป็นการสื่อว่า เรารับไม่ได้ เมื่อ…….. เช่นกัน
ยกตัวอย่างประโยค
I can’t bear it when my feet are cold and wet.
(ฉันทนไม่ได้เวลาที่ฉันรู้สึกว่าเท้าฉันมันทั้งเย็นและเปียก)
10. It annoys me when…
เปลี่ยนจากการเอา annoys me จากเดิมที่เคยอยู่ท้ายประโยค เป็นการขึ้นต้นประโยคแทนว่า It annoys me when…….. มีความหมายว่า ฉันรู้สึกรำคาญใจ เมื่อ……….
ยกตัวอย่างประโยค
It annoys me when you do that sound so please, stop it.
(มันทำให้ฉันรู้สึกรำคาญเวลาคุณทำเสียงแบบนั้น ได้โปรดหยุดทำสักทีเถอะ)
11. It bugs me when…
เช่นเดียวกันกับ bugs me ก็สามารถนำมาใช้ขึ้นต้นประโยคได้ด้วย โดยใช้ว่า It bugs me when……… มีความหมายว่า ฉันรู้สึกหงุดหงิดใจเมื่อ……….
ยกตัวอย่างประโยค
It bugs me when my boss asks me to work on weekends.
(ฉันรู้สึกหงุดหงิดใจเมื่อเจ้านายสั่งให้มาทำงานตอนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์)
12. It gets on my nerves when…
แล้วเมื่อไรที่รู้สึกว่าเส้นประสาทตรงขมับมันเต้นตุบๆ จนอยากบอกเมื่อรู้สึกว่า รำคาญจริงๆ เมื่อ……… ก็ให้ใช้ว่า It gets on my nerves when……..
ยกตัวอย่างประโยค
It gets on my nerves when people are late for the meeting.
(ฉันรู้สึกรำคาญใจจริงๆ เวลาเห็นคนมาเข้าประชุมสาย)
13. It pisses me off when…
ย้ำอีกครั้งว่า piss me off เป็นคำแสลงนะคะ ใช้ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการเท่านั้น เมื่อเอามาใช้ขึ้นต้นประโยค ให้ใช้ว่า It pisses me off when……… หมายความว่า อารมณ์เสียจริงๆ เวลาที่……..
ยกตัวอย่างประโยค
It pisses me off when people don’t listen to us.
(อารมณ์เสียจริงๆ เวลาพูดแล้วไม่มีคนฟังเนี่ย)