KhonThai America : คนไทยในอเมริกา

ชื่อกระทู้: ประสบการณ์ทำธุรกิจคนไทยในอเมริการุ่นบุกเบิก [สั่งพิมพ์]

โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 02:59
ชื่อกระทู้: ประสบการณ์ทำธุรกิจคนไทยในอเมริการุ่นบุกเบิก
พอดีไปเจอบทความน่าสนใจ เลยไปก็อปมาให้อ่านนะครับ สนุกมาก แต่ยาวหน่อย คัดลอกมาจาก http://topicstock.pantip.com/kla ... 45107/H3345107.html

เพื่อนศรี…ที่เคารพ
(นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1971 นะคะ)

>>>>พวกนักเรียนไทยสาวๆอย่างพวกเรา..ในสมัยนั้น..มีอยู่แค่หยิบมือเดียว..รู้จักและเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น..กลุ่มฉันก็มี..อยู่ห้าคน..ที่สนิทชิดเชื้อ..ซ้ำยังอยู่อพาร์ตเม๊นท์เดียวกันซะด้วย..เพียงแต่คนละห้อง…คนละชั้น…อพาร์ตเม๊นท์สำหรับนักเรียนนั้น..จะซอยเป็นห้องๆชนิดที่เรียกว่า” สตูดิโอ”
ที่แคบและเล็กเท่ากับรังหนูยังไงยังงั้น…
พอแค่วางเตียง..โต๊ะทำงาน  ห้องน้ำ..และ ครัวเล็กๆ..ทุกอย่างที่กล่าวมานี้..วางจัดอยู่ในห้องเดียวกัน…
ตรงครัวที่ว่า..ก็จะแบ่งส่วนโดยมีตู้เย็นมากั้นหน่อยนึงเท่านั้น
หน้าห้องน้ำก็มักจะเป็นตู้เสื้อผ้าพอสำหรับแขวนได้แค่ไม่กี่ตัว…พวกเราจึงต้องใช้ศิลปอย่างสูงสุดพร้อมทั้งความสามารถนานานับประการ..ที่จะจัดห้องให้ดูดี..และมีที่..พอให้พรรคพวกเข้ามานั่งคุยกันในยามเหงาๆ  ใต้เตียง..หลังตู้..ใช้ประโยชน์ได้อย่างเอกอุ..
เก้าอี้ชุดรับแขก..ไม่มี..นอกจากเก้าอี้ของโต๊ะทำงานที่มีอยู่ตัวเดียวแล้ว..ไม่มีอื่น…เพราะฉะนั้น..ไม่ว่าจะกินข้าว..คุยกัน…ต้องนั่งกับพื้นทั้งสิ้น..
เรื่องทำกับข้าวกินกันนั้น…เลิกคิดไปได้เลย….จะทำอะไรแต่ละที..แม้กระทั่งทอดใข่ใบเดียวนี่แหละ
กลิ่นน้ำมัน..จะลอยอวลอยู่ในห้องนานนับชั่วโมง…หม้อหุงข้าวไฟฟ้า..ยังไม่ได้ถือกำเนิดมาในโลกนี้..
มามาไม่ว่าจะเป็นหมูสับ..หรือรสต้มยำกุ้ง..ก็ยังไม่มี

โชคดีที่ยังมีร้านอาหารจีน..ที่อยู่ใกล้ๆให้พวกเราพอจะฝากท้องได้บ้าง..กินเหลือก็ห่อมาบ้าน..ใส่ตู้เย็น..
พอจะกินก้อ..ต้องเอามานึ่งใส่ในลังถึงไมโครเวฟยังไม่มีออกมาใช้..
เป็นแค่สิ่งที่เราเคยได้ยินว่ามีใช้อยู่ในยานอวกาศแต่เพียงที่เดียวในตอนนั้น
แต่..พวกเรา..ไม่เคยคิดว่าทุกอย่างนั้นเป็นความยากลำบาก..กลับสนุกสนานกับชีวิต..และใช้มันอย่างคุ้มค่า..

พวกเราที่ว่า..ก็มี…ฉัน…เป้า…ตุ่ม… นิด และศรี…มารู้ประวัติแต่ละคนพอสังเขปนะ…ฉันน่ะรู้ๆกันอยู่ว่ามาเรียนหนังสือตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับแม่..ผู้ซึ่งเป็นสุดรักสุดบูชา
เป้า..ตุ่ม..นิด..มาเรียนเพราะมันบอกตรงๆว่า..จะมาชุบตัว…และเลือกเรียนวิชาที่ง่ายๆหน่วยกิตถูกๆและสามารถยืดได้ให้อยู่นานๆ..เพราะจะได้ใช้เวลาระหว่างเรียนมาทำงานหาค่าใช้จ่ายให้กับตัวเองโดยไม่ต้องรบกวนทางบ้าน..

แต่ศรี..มาอยู่ที่นี่เพราะพี่สาวแต่งงานกับฝรั่ง..ต่อมาก็ไม่ถูกกับพี่เขยจึงย้ายตัวเองออกมาผจญโลกแต่เพียงลำพัง  
ดรอปเรียนมานานแล้ว เพราะ..มันว่า…มันอยากเก็บเงินเยอะๆ..มากกว่าปริญญาอันเป็นสิ่งสมมุติ..
ฐานะทางบ้านก็ค่อนข้างง่อนแง่น
เพราะฉะนั้น..เงิน..ตัวเดียวเท่านั้นที่หลักประกันความมั่นคงให้กับศรีได้ในยามที่ห่างไกลบ้าน..ห่างไกลเมือง
ศรี..หรือนังศรีของพวกเรา..มันเป็นคนสารพัดขี้..
ขี้เหนียว…ขี้ตืด..ขี้งก…ขี้บ่น…โอย..สารพัด..แต่พวกเราก็รักมันนะ..เพราะ..ต่อให้สารพัดขี้นี่แหละ..ไม่ว่าใครป่วยใครไม่สบาย..ศรี..จะเป็นห่วงเป็นใย..เข้ามาดูแล
ทำข้าวต้ม..น้ำร้อนน้ำเย็นมาช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้
ใครไม่ว่าง..ก็จะอาสาเอาเสื้อไปใส่ในเครื่องซักผ้าให้
ส่วนดีของมันมีมากเสียจน..ไม่มีใครรังเกียจ..ในด้านขี้ขี้..ของเพื่อนศรีเลยแม้แต่นิด..!!!!

อย่างที่เล่ามา..ว่า..พวกเรานั้น..มักจะฝากท้องตามร้านอาหารต่างๆ
จนกระทั่ง..พี่จี..ได้มาเปิดร้านไทยเล็กๆในละแวก..
โอ้โห…ดังสวรรค์โปรด..พวกเราได้ย้ายตัวเองเข้าไปเป็นขาประจำของร้านพี่จีจนแทบจะกลายเป็นพนักงานในร้านโดยไม่รู้ตัว..
เช่น..ขณะที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่นั้น..แขกเกิดเต็มร้านขึ้นมา..พวกเราก็จะรีบลุกขึ้น..สละโต๊ะให้ขาจรซะก่อน
ทั้งๆที่เราก็เสียเงิน..มิใช่กินฟรี
ลูกจ้างแกยุ่ง..หยิบจับอะไรไม่ทัน..พวกเราก็จะเข้าไปช่วยจัดโต๊ะ..เซ๊ทจานส้อนซ่อม..ให้อย่างเรียบร้อยตามประสาน้ำใจคนไทย..บางครั้งถึงกับไปช่วยล้างชามเลยก็มี

กิจการพี่จี..ดีขึ้นเป็นลำดับ..จากคำพูดที่เคยอ้อล้อ อ่อนหวานปานจะหยด..เวลาที่พูดกับพวกเรานั้น..ชักจะเปลี่ยนไป..เคยมีคุณนำหน้าชื่อ..ก็ไม่มีซะแล้ว..
จากที่เคยอ้อนวอนให้ช่วยมานั่งเป็นหน้าม้า..ให้ดูว่าร้านคนเต็ม..ก็ชักกลายเป็นสีหน้ารำคาญหน่อยๆเวลาที่เห็นพวกเราเดินเข้ามาในร้าน.

วันนั้น…..วันที่พระเจ้าแกล้ง…พวกเราก็เดินพาเหรดเข้าไปในร้านพี่จี..ตามปรกติเหมือนเคย.เพราะไม่รู้จะไปไหน
อีกอย่างนึง..มันอาจจะเป็นความเคยชินไปซะแล้วก็ได้ที่ต้องมากินข้าวที่นี่ทุกเย็น..
ลูกค้ายังมีไม่กี่โต๊ะ..พวกเราจึงเข้าไปนั่งที่โต๊ะริม..อันเป็นโต๊ะประจำ…เสียงพี่จี..ลอยแว๊ดมาว่า
“ที่นั่น..นั่งไม่ได้วันนี้..มีแขกจอง..พวกคุณ..กลับมาอีกทีตอนสามทุ่มละกัน..วันนี้บิ๊ซี่.{BUSY}”
พวกเราสดุดกึก..ทั้งที่กำลังจะหย่อนก้นลงนั่งแล้วเชียว
ฉันนั้น..แทบไม่เชื่อหูตัวเอง..หันไปมองหน้าเพื่อนๆ..ไอ้เป้า ไอ้นิด..ไอ้ศรี  ไอ้ตุ่ม..ทุกคนอ้าปากค้าง…
ทันทีที่รู้สึกตัว..ไอ้เป้า..กระแทกเก้าอี้โครมใหญ่..และบอกว่า..
“เฮ้ย..พวกเรากลับ..ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว..ร้านเนี้ยยย..???.”
แล้วเราทุกคน..ก็เดินตามกันออกมาด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านสุดแสนที่จะระงับ
และทันทีที่ตัวพ้นร้าน..เสียงทุกเสียงก็พลันเซ็งแซ่…
“ชั้นจะไม่เหยียบร้าน..อีพี่จีนี่อีก..ตราบที่มีชีวิตอยู่..เลยแก..คอยดู๊??”   เสียงไอ้เป้า
โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:00
    “หมั่นไส้..ชิปเป๋ง…พูดกะเรายังกะไปกินของมันฟรีๆ”  เสียงไอ้นิด
    “ทีเมื่อก่อน..ละแทบจะมาอุ้มให้เข้าไปร้าน..โธ่เอ๊ย..ยัยเจ๊เฮงซวย..??”  เสียงไอ้ตุ่ม
    “เออ..ต่อไปนี้..พวกเรา..จะไม่ไปร้าน..อีเจ๊สามหาวนี่อีก..ใครไปขอให้มันจู๊ดๆโว๊ยยย”  เสียงฉันเอง
    “แต่..อย่างว่าละนะ..เขาก็ต้องอยากได้ลูกค้าฝรั่งมากว่าเรา..เพราะพวกเราคงจะกินน้อยน่ะ” เสียงไอ้ศรี
    ที่ทำให้ทุกคนต้องหันมาดูมันเหมือนตัวประหลาด..ว่า.มันคิดได้ยังไง..แหวกแนวแหกเพื่อนพ้องหยั่งเงี้ย

    ไอ้ศรี..คงจะทนสายตาของพวกเราไม่ได้จึงพูดเสียงอ่อยๆว่า..
    “เก๊าะ..พวกแกคิดดูนะ..ว่าพวกเราก็มีงบกำจัด..ไม่ค่อยได้กินของแพงๆ ฟาดแต่ก๊วยเตี๋ยวกันยัน  เจ๊แกคงอยากจะเอาโต๊ะให้ฝรั่งนั่ง…พวกที่มากินแล้วสั่งไวน์สั่งเบียร์น่ะ  อย่าไปโกรธแกเลย..เป็นเราบ้างก็คงคิดเหมือนกันละวะ”

    แต่พวกเรา..ทุกคน(ยกเวันไอ้ศรี.).เห็นว่านั่นไม่ใช่เหตผลที่ดี..จึงประกาศบอยคอต..ร้านเจ๊จี..ตั้งแต่วันนั้น
    ประกาศไม่ประกาศเปล่า…มีการสาบแช่งถ้าเผื่อใครแหกกฏเหล็กนี้ด้วย ไม่เว้น..แม้แต่ไอ้ศรี..ไอ้เพื่อนช่างคิด

    เมื่อหมดภาระกิจที่จะต้องไปนั่งร้านพี่จีจอมงกแล้ว..
    ต่อมาในทุกๆเย็น..พวกเราจึงต้องกลับมานั่งที่ร้านจีนหัวมุมเหมือนเดิม..บรรยากาศเซ็งๆ…ไม่มีหนังสือพิมพ์ไทยอ่านโต๊ะฝุ่นจับเหนียว..แจกันเสียบกุหลาบเทียมสีแดงช้ำๆ..
    บริกรตี๋ขาโก่งพูดทีเห็นฟันเหลืองอ๋อยแถมชอบมาทำท่ากะลิ้มกะเลี่ยไอ้เป้าอยู่บ่อยๆจนน่ารำคาญ
    แต่..พวกเราก็ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กันซะบ้าง..
    เพราะจะไปหาร้านที่ไกล้บ้าน..อีกทั้งราคาย่อมเยาว์ก็ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ  ก็เห็นทีต้องยอมทนๆกันไป

    ในตอนเย็นวันหนึ่ง..ขณะที่..พวกเราทั้งหมดกำลังเดินหอบตระกร้าผ้าซัก..ลงบันไดมาชั้นล่าง..  มิสซิสปาร์ค  เจ้าของตึกก็เดินสวนขึ้นมา..
    ก็มีการวี๊ดว๊ายกระตู้วู้ทักทายกันตามระเบียบฝรั่ง..ผลัดกันชม..ไอ้โน่นไอ้นี่ไปตามประสา
    มิสซิสปาร์ค..ก็บ่นขึ้นว่า…ร้านขายแซนวิซเล็กๆ..ตรงหัวมุมตึก(ที่แกเป็นเจ้าของด้วย) นั้นกำลังจะว่างลง..
    แกจะต้องมาทำความสะอาดและจะต้องหาคนมาดำเนินกิจการเช่าต่อไป
    ไอ้ศรีได้ฟังก็สะดุดกึก…มันหยุดยืนคุยกับ
    มิสซิสปาร์ค ชนิดเป็นเรื่องเป็นราว..ถึงค่าเช่า..ค่าน้ำค่าไฟ..และรายได้โดยประเมิน..จนพวกเราต้องกระทุ้ง..แต่อดที่จะกัดมันซะนิดหน่อยไม่ได้…
    “แกคิดจะ..ขายแซนวิซ..กะเขาหรือไงวะ?”  
    ฉันเป็นคนเริ่มต้นการซัก..
    ศรีทำหน้าเคร่ง..ทีท่าเอาจริงเอาจังชนิดที่เพื่อนฝูงไม่เคยเห็นมาก่อน…แววตามันค่อนข้างมุ่งมั่น..ก่อนที่จะตอบว่า
    "เออ..แต่ไม่ใช่ร้านแซนวิซ…เราว่า..จะปรึกษาพวกนายว่า..เรามาทำร้านอาหารไทยดีไหม?”
    "ฮ่าฮ่าฮ่า..โอย..อยากหัวเราะให้ชักดิ้นไปตรงนี้เลยว่ะ..ไอ้ศรี..ที่ร้านนั้นมันแค่แมวดิ้นตาย..จะทำอะไรได้วะ..หา..??”
    “แล้วจะเอาทุนที่ไหนมากั๊น..ทุกอย่างต้องลงทุนนะแก..”
    “แล้วใครจะมาทำงานล่ะ..หนังสือก็ต้องไปเรียน..อย่าเพ้อเจ้อไปหน่อยเลยน่า..นังนี่ถ้ามันจะบ้า..”
    เสียงท้วงติงนานาเหล่านี้นั้น..มาจากพวกเราแทบทั้งสิ้น

    แต่เมื่อมาฟังศรี..พูด..และพูด..ถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาจากปากเพื่อนสาวคนนี้…ทำให้เสียงพวกเราค่อยแผ่วลง แผ่วลง..ในที่สุด..ทุกคนก็เงียบสนิท..อีกทั้งตั้งอกตั้งใจฟังกันเป็นอย่างดี..เพราะ  เหตุผลดังนี้
    ว่า...ร้านนั้นเราแทบจะได้ฟรีๆ  อุปกรณ์ในครัวก็มีพร้อม  เตา  ตู้เย็น  ค่าเช่าไม่แพงเพียงแค่เดือนละสามร้อยห้าสิบเหรียญ  และถ้าพวกเราร่วมแรงร่วมใจกันจริงๆแล้วละก้อ
    พวกเรานี่แหละ..จะได้เปิดร้านอาหารไทยที่เป็นของตัวเอง  แข่งกับพี่จี  ให้มันรู้ดีรู้ชั่วไปเลย !!!
    ด้วยเหตุผลเพียงข้อนี้ข้อเดียว...ที่ทำให้การตัดสินใจร่วมทุนร่วมแรงมีมติเป็นเอกฉันท์  ทั้งๆที่
    ไม่มีใครรู้เรื่องธุรกิจชนิดนี้เลยแม้แต่นิด  มีแต่อารมณ์ผสมลูกบ้าของวัยรุ่นเลือดร้อนในช่วงนั้นแต่เพียงอย่างเดียว   คนที่เห็นจะพึ่งได้และเป็นเจ้าความคิด  อีกทั้งเป็นตัวตั้งตัวตี  ก็คือ ศรี  มันจึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลและจัดการวางแผนงานทั้งหมด..
    ในชั้นแรก...พวกเรามานั่งประชุมถึงเรื่องเงินที่จะใช้ในการลงทุนตอนเริ่มต้น  และรายจ่ายทั้งหมด
    ค่าเช่าร้าน  พร้อมล่วงหน้าหนึ่งเดือน  ค่าวางมัดจำ  ค่าไฟ  ค่าโทรศัพท์  ค่าเครื่องมือเครื่องใช้ อีกทั้งอาหารสดอาหารแห้ง  เบ็ดเสร็จรวมแล้วประมาณสี่พันกว่าเหรียญ  
    ศรีเรียกหุ้นจากพวกเราคนละพัน...ซึ่งสำหรับบางคน..มันหมายถึงการสิ้นเนื้อประดาตัวทีเดียว
    นิดบ่นอย่างกลุ้มอกกลุ้มใจ..เรา..มีตังค์ไม่พอหรอกนะ  ในแบ๊งค์มีไม่กี่ร้อยเอง!!
    เป้าก็ผสมโรง...ใช่..เราก็เหมือนกัน  สงสัยเราจะหุ้นด้วยไม่ได้แล้วว่ะ  เสียดายจัง !!
    แต่..ไอ้ศรี..หัวเรือใหญ่..ประกาศกร้าว...ว่า
    มีเท่าไหร่..ก็เอามา..เราพอมีเก็บไว้บ้าง  จะเอาออกมาสมทบให้ก่อน  แล้วเราจะหักเอาคืนจากกำไรส่วนแบ่ง !!
    ทุกคนหันมามองตากัน  อ้าปากค้าง  เพราะเป็นที่รู้ๆกันว่า..ไอ้ศรีนั้น..สลึงเดียวไม่กระเด็น
    และที่สำคัญ..มันเชื่อมั่นในกิจการนี้ถึงขนาด..นับกำไรไว้ล่วงหน้าเชียว..
    ฉันนั้น...เทกระเป๋า..ให้มันไปก่อนใคร..
    เอาวะ..ไอ้ศรี..ถ้าแกเชื่อขนาดนั้น...เอาไงเอากัน !!!

    เมื่อมติการที่จะเปิดร้านอาหารไทยเป็นอันตกลงดังนั้นแล้ว   พวกเราเริ่มวิ่งกันวุ่น ในฐานะนักธุรกิจวัยรุ่นที่ไม่รู้อะไรเลย  โชคดีที่มิสซิสปาร์ค เจ้าของสถานที่ได้ให้คำแนะนำในเรื่อง
    เอกสารทางด้านกฏหมายต่างๆ  ซึ่งในการอธิบายด้วยวาจาในชั้นแรกนั้น  พวกเราแทบจะหมดกำลังใจ
    เพราะ

    หนึ่ง  เราทุกคนจะต้องไปที่เทศบาล(CITY  HALL) ไปเอาเอกสารที่จะขออนุญาตเปิดกิจการมากรอก และเสียค่าธรรมเนียม  พร้อมทั้ง แจ้งชื่อร้านที่จะใช้เพื่อ  ทางการจะได้ดูให้ว่า..ไปซ้ำกับใครในละแวกหรือไม่ อีกทั้งต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขายเครื่องดื่มชนิดแอลกอฮอล์ต่ำ เช่น เบียร์  ไวน์
    (ถ้าจะเป็นเหล้า...ต้องแยกประเภท อันนี้แพงมากสำหรับค่าใบอนุญาต)

    สอง   ต้องไปเอาเอกสารที่จะแสดงภาษีต่างๆมากรอก  โดยใช้บัตรประกันสังคม
    และบัตรประจำตัวผู้เสียภาษี  มาเป็นหลักฐาน(ซึ่งพวกเราทุกคนมีพร้อม ในสมัยนั้น ใครใครก็มีได้)

    สาม  ต้องไปแผนกควบคุมอนามัยและสิ่งแวดล้อม   เพื่อขอใบอนุญาตเปิดกิจการ อันนี้สำคัญมาก  เจ้าหน้าที่ของแผนกนี้จะเป็นผู้มาตรวจร้าน...และเห็นว่าทุกอย่างนั้นสอาดถูกหลักอนามัย ไฟ แก๊ซไม่รั่วไหล  จึงจะเซ็นใบอนุญาตให้เปิดได้  นั่นคือ  ด่านสุดท้าย !!!

    ทันทีที่ได้ฟังตามขั้นตอน  ฉันและคนอื่นๆก็ชักจะโยเย  เพราะมองเห็นความยุ่งยากต่างๆนานา  แต่
    ศรี...ไม่ยอมแพ้  มันจับพวกเราทั้งหมดนั่งรถไปซิตี้   ฮอลล์  จนได้ในวันรุ่งขึ้น..
    ทันทีที่แจ้งความประสงค์   เจ้าหน้าที่  ส่งแบบฟอร์มมาให้หนึ่งฉบับมาให้กรอก  พวกเราก็ทำตามที่ตกลงกันไว้  คือ..ใส่ชื่อทุกคนลงไปในฐานะผู้ดำเนินกิจการทุกคน คือเป็นเจ้าของร่วมกันทั้งหมดที่มีความรับผิดชอบเท่ากัน  และเมื่อเราส่งคืนให้กับเจ้าหน้าที่
    พร้อมกับถามถึงสถานที่  ที่ทำการอื่นๆ  ที่เราจะต้องไปติดต่อต่อไป... เจ้าหน้าที่มองพวกเราอย่างเอ็นดูและบอกว่า  ไม่ต้องไปไหนเพราะ
    ทุกอย่างอยู่ในนี้หมดแล้ว..เอกสารนั้นมีหลายก๊อปปี้ซ้อนกัน ต่างๆสี  แต่ละสีจะเป็นของแต่ละแผนก
    ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น..เพียงแต่เราเสียค่าธรรมเนียมแต่ละใบให้ครบจำนวน  ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นตรงนั้น...
โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:02
    นี่คือ..ความเลื่อมใส..ที่ประจักษ์ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกในขั้นตอนการทำงานของรัฐที่มีบริการให้ต่อประชาชนผู้เสียภาษีที่มีทั้งศักดิ์และสิทธิ์  ในประเทศอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพและสิทธิแห่งการทัดเทียม

    และแล้ว..เจ้าของกิจการสาวน้อยทั้งห้า...ฉัน  เป้า  นิด  ตุ่ม  และศรี แม่หัวเรือใหญ่ ก็เดินตัวปลิวออกจากซิตี้  ฮอลล์  พร้อมทั้งใบอนุญาตต่างๆพร้อมมูลในมือ พร้อมที่จะดำเนินกิจการ
    รอแต่..การนัดหมายตรวจสอบสถานที่ดำเนินการจากเจ้าหน้าที่อนามัยให้เสร็จสิ้นเท่านั้น !!
    ทุกคนมุ่งหน้าไปที่ร้านแซนวิซที่กำลังจะกลายมาเป็นร้านอาหารไทย..ในไม่ช้าด้วยน้ำมือของพวกเรา
    กันเองนี่แหละ  
    คิดๆดูแล้วก็ครึ้มใจไม่หยอก  ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ(เก่าๆ คันเดียวที่มี) แต่ละคนก็เซ็งแซ่  
    "ฉันว่า   พวกเราต้องทาสีใหม่  ตกแต่งใหม่ทั้งหมด  เอาให้ดูเป็นร้านไทย ไทย“
    "แล้วแกจะทำยังไง  จะห้อยปลาตะเพียนหน้าประตูหรือไงยะ?  เสียงขัดคอก็ลอยมาเป็นจังหวะ
    “ใครจะเขียนป้ายชื่อร้านล่ะ...จะต้องไปจ้างเขารึป่าวเนี่ย  แพงตายโหง..!!
    ศรี  นั่งเงียบมาตลอดทาง..สีหน้าครุ่นคิด  ในที่สุดพอก็เอ่ยปากว่า..
    เรื่องอื่นๆยังไม่ต้องคิด...เอาเรื่องชั่วโมงทำงานก่อน  ชั้นคนเดียวที่ไม่ได้เรียนหนังสือ  ก็มีเวลาเตรียมของตอนกลางวัน..ร้านเปิดเฉพาะตอนเย็นสี่โมง...พวกแกกลับจากเรียนก็สามโมงกว่าๆไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้ามาทำงานเลย  จัดเวรกัน  ทำข้างนอกสองคน  มาช่วยชั้นในครัวสองคน เราจะไม่จ้างใครเลย..เพราะ ทุกอย่างต้องประหยัด  จะได้มีตังค์เหลือมาแบ่งกันตอนสิ้นเดือน
    พวกเราเห็นดีด้วย...ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ

    ทันทีที่ถึงร้าน...ศรีไขกุญแจเข้าไป  กลิ่นสาบอับๆโชยมาจนเราต้องอุดจมูก
    มันเป็นกลิ่นน้ำมันทอดมันฝรั่งหืนๆ  ที่สะสมจับอยู่มานาน  ข้าวของระเกะระกะ  
    พื้นครัวเหนียวหนืดจนติดหนึบหนับกับพื้นรองเท้ายางของฉันในยามที่ย่างก้าวเข้าไป
    ฝุ่นเกาะหนาตามฝ้าเพดาน และขอบประตูหน้าต่าง  ในห้องน้ำเดียวเล็กๆที่มีก็มีรอยด่างจากน้ำรั่วหยดซึมกระจายเป็นวงซ้อนๆกันตามซอกฝา
    ความจริงเริ่มปรากฏต่อสายตาว่า..
    นี่...มิใช่เรื่องสนุกสนานอย่างที่คิดซะแล้ว...แต่มันเป็นงานช้าง.อย่างชนิดที่เราไม่เคยนึกเคยฝัน!!!
    และเริ่มจะรู้สึกตัว..ว่า..มัวหลงไหลได้ปลื้มกับความใจดีของมิสซิสปาร์ค ที่ให้โอกาสเราเป็นเจ้าของกิจการแม้ว่าจะเล็กๆก็เถอะ...
    แต่แท้ที่จริงแล้ว  แกคงจะหาใครมาเช่าต่อไม่ได้แน่ๆในสภาพเช่นนี้..เพราะตามกฏหมาย(ที่มารู้ทีหลัง)ว่า
    เจ้าของจะต้องซ่อมและเปลี่ยนสิ่งชำรุดหักพังทุกอย่างให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้เสียก่อน
    จึงจะให้คนมาเช่าได้..แต่พวกเรารีบตาลีตาเหลือกเซ็นสัญญาเช่า..ที่มีข้อความเล็กๆติ่งอยู่ข้างล่างว่า
    เจ้าของไม่เพิ่มค่าเช่าจากที่เคยได้รับเพราะผู้เช่าอย่างเราพอใจที่จะตกลง  เช่าอย่าง AS IS  หมายถึง  เช่าตามสภาพที่เห็น  ที่เป็น  ถ้าของเสียก็ซ่อมเอง  เจ้าของไม่เกี่ยวข้องใดๆ

    ค่าซ่อมแซมนั้น  ในอเมริกานี่ก็มหาโหด  ช่างทุกชนิด..ไม่ว่า ช่างซ่อมท่อประปา  ช่างไฟฟ้า  ช่างทาสี  ล้วนแล้วแต่กินรายได้เป็นชั่วโมงด้วยกันทั้งนั้น  ขั้นต่ำๆขี้หมูขี้หมาก็ตกร่วมชั่วโมงละเจ็ดแปดเหรียญในยามนั้น  
    พวกเราถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดอาลัยตายหยาก   เพราะมองไม่เห็นทาง ว่าจะหาทุนที่ไหนมาซ่อมแซมตกแต่ง  ให้อยู่ในสภาพที่จะเปิดร้านได้  
    รู้ๆกันอยู่ว่า  ทุนรอนทั้งสิ้นนั้นเหลือไม่เท่าไหร่เอง   
    เสียงในร้านเงียบสงัด  แทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของพวกเราทุกคน    ทุกคนมีสีหน้าที่ท้อแท้  หมดหวัง

    ไอ้ศรี...ดีดมือเปาะ  ตาเป็นประกายลุกวาว   สีหน้ามีร่องรอยแห่งความหวังเต็มเปี่ยม
    มันละล่ำละลัก  บอกพวกเราว่า..
    "เฮ้ย...คิดได้แล้วว่ะ  ชั้นว่า  เราไปหาไอ้กลุ่มเหลือขอกันดีกว่า...พวกนี้มันทำได้สารพัดช่าง
    โดยเฉพาะไอ้อุ๋ย ไอ้นิด  พวกนี้มันเป็นพวกช่างกลงัยยย !!! "
    "แล้วพวกมันจะช่วยเราเหรอ...ก็เจอกันทีไรก็ด่ามันทุกที  ไอ้พวกทุเรศ "  
    ฉันเองที่พูดประโยคนี้เพราะ
    เป็นที่รู้ๆกันว่า  พวกชายหนุ่มกลุ่มนี้เป็นชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่นักเรียน  เป็นพวกใช้แรงงาน  และชอบมั่วสุมกับพวกแหม่มฮิปปี้ชั้นสวะ   เคยมาทำท่าก้อร้อก้อติกกับพวกเรา  แต่ก็ถูกปรายตาเหยียดหยามเสียจนต้องถอยร่นออกไปไม่เป็นขบวน  
    เพื่อนๆทุกคนก็ขานรับ   เออ..จริงๆ ขืนบากหน้าไปหาพวกมันละก้อ  โดนมันโห่กลับมาแน่  ชั้นไม่เอาด้วยหรอก !!!   
    แต่ไอ้ศรีไม่ยอมแพ้   มันว่า  ใครไม่ไปไม่เป็นไร  ชั้นจะไปเอง  ไม่ได้ขอให้มาทำฟรีๆนี่หว่า
    เราก็ยอมจ่าย  เพียงแต่เราจะขอให้มันคิดเราราคาคนไทย  ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน !!

    พวกเราทุกคนมอง  เพื่อนศรี  อย่างทึ่งในสมองอันชาญฉลาดและความคิดอันแยบยลของมัน  
    ว๊าว...มันคิดได้ยังไงเนี่ย...!!

    สรุปว่า...ธุระการเจรจาในเรื่องนี้กับ“กลุ่มเหลือขอ"  ตกอยู่ในความรับผิดชอบของ  ศรี  แต่ผู้เดียว
    วันรุ่งขึ้น..วันดีเดย์  แต่เช้า  ศรีสั่งงานให้พวกเราจัดการกวาดร้าน  เก็บขยะ  ออกไปให้พ้นๆทาง ส่วนตัวมันจะไปเรื่องการเจรจาต้าอ้วย กับพวกชายหนุ่มสารพัดช่างที่ว่า  แต่เพียงลำพังคนเดียวโดยไม่ต้องการให้ใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มไปเป็นเพื่อน  เพราะมันว่า...
    พวกแกปากเสีย...เดี๋ยวแทนที่จะได้เรื่อง  กลับจะไปทะเลาะกับพวกมันอีก !!

    ตกสายๆหน่อยขณะที่พวกเรากำลังขมักเขม้น  เก็บกวาด ถูพื้น  กันอยู่นั้น  เสียงจอดรถและเสียงปิดประตูโครมครามก็ดังอย่างสนั่นหวั่นไหว..มาจากทางที่จอดรถหน้าร้าน
    ภาพที่เห็น...ไอ้ศรี..เดินนำหน้ากลุ่มชายไทยทั้งห้า..เข้ามาในร้าน...ไม่ต้องแนะนำ เพราะรู้จักกันหมดแล้ว...เพียงแต่ไม่ชอบขี้หน้ามันก็เท่านั้น..มาครบองค์เลยเชียว..
    เขียด  หนุ่มจากท้องนาอิสาน  
    เต๋า..จิ๊กโก๋เก่าหลังวัง  
    นิด..ไอ้กะล่อน  
    อุ๋ย..ไอ้ขี้โม้
    ชัย..ไอ้สิงห์สำอาง....มาถึงก็เอาเชียว..
    "หา..เนี่ยเหรอ..ที่พวกเจ๊จะเปิดเป็นร้านอาหารไทยน่ะ...เล็กกะติ๋วเดียว   เมื่อไหร่จะคืนทุนล่ะเจ๊ ???
    "ใครเป็นเจ๊แก....นายอุ๋ย !!"   ไอ้เป้า สาวร่างใหญ่  ตวาดแว๊ด
    "โอ๊ะ..  โอ๋  ใจเย็นๆ  ผมกลัวแล้วคร๊าบบบ  คุณเป้า..ที่เรียกเจ๊ เนี่ย  เพราะผมนับถือหรอกนะ!!
    ไอ้ศรีต้องรีบมาสงบศึก..เพราะด้วยเกรงว่า  ร้านที่มันใฝ่ฝัน  จะกลายมาเป็นเวทีมวยซะก่อน
    "เอาน่า..พวกแกจะรีบไปเรียนหนังสือกันไม่ใช่เร๊อะ..ไปซี่  เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง"

    พวกเราจึงถอยทัพออกมา..เพราะ..ไม่อยากจะเสวนากับเจ้าพวกยียวนกวนประสาททั้งห้านี่
    แต่ก็อดเป็นห่วงไอ้ศรีไม่ได้..ไม่ใช่เรื่องล่วงละเมิดอะไรอย่างนั้นหรอกนะ..แต่ห่วง สติสัมปชัญญะ
    เพื่อนศรีต่างหาก..ไม่งั้นเค้าจะยกย่องให้เจ้าพวกนี้..มันเป็นกลุ่มเหลือขอ  หรอกเร๊อะ????
โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:03
พอตกเย็น..ทั้งฉันและไอ้ตุ่ม ไอ้นิด(หญิง)  รีบกระโจนไปที่ร้านทันที  ทันทีที่ถึงพวกเราถึงกับ
ต้องยืนอึ้ง...ชายทั้งห้า...ทุกคนอยู่ในชุดทำงานเป็นชุดหมีที่แสนจะมอมแมม  เครื่องมือเครื่องไม้วางบนพื้นเป็นหย่อมๆอย่างมีระเบียบ  
ทุกคนแยกอยู่แต่ละมุมของร้าน  แยกไปคนละหน้าที่
ชัยอยู่บนบันไดเหล็ก  กำลังต่อไฟเพดาน   อุ๋ยซ่อมท่อน้ำอยู่ในครัว   นิดกำลังเอาเกรียงขูดสีเก่าๆ
ที่กระดำกระด่างออกจากฝาผนัง  เต๋าและเขียดกำลังช่วยกันซ่อมตู้เย็นและเตา...
ไอ้ศรีกำลังก้มๆเงยๆลากโน่นลากนี่ออกมาจากใต้ตู้...
ฉันรีบไปลากมือมันออกมาคุยกันข้างนอก  ถามมันว่า
"ตกลง..ไอ้พวกนี้มันมาช่วยเราจริงๆเหรอ ศรี..???"
"เออ..พวกเค้าว่า..อาทิตย์เดียวก็เสร็จนะ  เค้าจะมาทำให้ตอนกลางคืนเพราะกลางวันต้องทำงานกันน่ะ"
"ตายจริง...มันไม่คิดตังค์ค่าแรงเราอ่วมไปเลยเหรอเนี่ย..!!"  ตุ่มชักเป็นห่วงเรื่องเงินทุนสำรอง

แต่คำตอบ..จากปากไอ้ศรี  ทำให้พวกเราต้องหุบปากและหันมามองหน้ากันอย่าง..เป็นงง..
"ป๊าว...พวกเค้าว่า..ไม่คิดค่าแรง  ขอให้เตรียมกับข้าวกับปลา..น้ำชากาแฟไว้ให้เท่านั้น !!!"
"จริงง่ะ....พวกมันเนี่ยนะ ??? "  ทุกคนพูดแทบจะพร้อมกัน  อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
"จริง จริง...ก็เราบอกเค้าไปตามตรงน่ะ..ว่าอย่าคิดเราแพง..เราไม่มีตังค์ !!!"

เราพากันเดินมาที่อพาร์ตเมนต์  หลังจากที่มอบกุญแจร้านให้กับพวกสารพัดช่างไปแล้ว
เพราะพวกเขาบอก(ไล่)ให้กลับมาพักผ่อน อยู่ไปก็เกะกะการทำงานของเค้าซะปล่าวๆ
เค้าว่า..ถ้าต้องการอะไร..ก็จะบอกให้ไปซื้อมาให้  แต่ไม่ต้องมาอยู่ช่วย !!
ภาพของชายหนุ่มทั้งห้าที่ขมักเขม้น  ลงแรงกาย..และระดมแรงสมองช่วยกันอย่างเต็มที่มี่ฉันเห็นเมื่อกลางวันนี้  ยังติดตาและ
ตอนนี้นั้น..ฉันออกจะซึ้งในน้ำใจ..ของพวกเราที่มาจากเผ่าพันธ์เดียวกัน เห็นกันชัดชัดในยามทุกข์ยาก  
เห็นแจ้งในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ..

นั่นคือ..บทเรียนบทแรกของฉันกระมัง..ในเรื่องจิตมนุษย์ที่ยากแท้หยั่งถึง  เพราะที่ผ่านๆมาฉันจะประเมินคน  ก็เพียงแค่เปลือกที่หุ้มห่อ   วาจาที่เสนาะหู
และพื้นเพที่มา.. อันเป็นอันดับแรก !!

ในระหว่างที่เริ่มทำการตกแต่งร้านเล็กๆ ที่เซ้งต่อเขามา และอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมอย่างที่สุด
เราจึงต้องระดมแรงช่วยกันแบบสุดชีวิต
ฉันนั้นไม่ค่อยจะถนัดในเรื่องของการใช้แรงงาน จะจับค้อนตอกตะปูก็ไม่ค่อยจะสันทัดสักเท่าไหร่
เลยถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นแผนกส่งเสบียง ดูแลเรื่องอาหารการกิน
ทุกๆ เช้าก่อนที่จะไปโรงเรียน ฉันจะผัดข้าวห่อโต จัดน้ำขวด ชงกาแฟใส่กระติก เอาไปให้พรรคพวกที่กำลังขมัก
เขม้นทำร้านให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะเปิดกิจการให้เร็วที่สุด
ทุกๆ เช้าก่อนที่ฉันจะไปเรียนหนังสือ ฉันจะต้องพบภาพเดิมๆ คือ ไอ้เพื่อนศรี ก้มๆ เงยๆ ทำโน่นทำนี่ บางทีก็มีชัย หรือ ต๋อง หรือทั้งคู่มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ
หลังจากที่ฉันกลับมาจากโรงเรียนในตอนเย็น ก็ยังเห็น เพื่อนศรี อยู่ในภาพเดิมอีกนั่นแหละ ฉันนึกในใจ...
“งานนี้...ไอ้ศรี ของเรา...มันเอาจริง”...!!!

ร้านของเราเริ่มเป็นรูปร่าง ทาสีเสร็จแล้วดูเอี่ยมอ่อง
นอกจากเคาน์เตอร์ คิดเงินที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งแล้ว
ทุกอย่างว่างเปล่า ว่างเสียจนร้านเล็กๆ นั้น
มองดูกว้างไปถนัดใจ

ไอ้ศรีเรียกพวกเราทั้งหมดประชุม บอกว่ามีข่าวดีและข่าวที่ไม่สู้ดี พวกเรา...หุ้นส่วนทั้งห้าคน นั่งหน้าสลอนพร้อมที่จะรับฟังเรื่องที่ว่า...
สีหน้าไอ้ศรีค่อนข้างเครียด...มันมองหน้าพวกเราทุกคนด้วยความหวัง ก่อนจะบอกว่า...

ข่าวดีที่ว่านั้นคือ...ร้านจวนจะเปิดได้แล้ว
แต่...ข่าวไม่ดีนั่นก็คือ...เงินทุนเราเหลือไม่กี่ร้อยเหรียญเอง ข้าวของอื่นๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ จาน ชาม ช้อน กะทะ หม้อหุงข้าว เครื่องใช้ไม้สอยอีกจิปาถะนั้น...ยังไม่มี
แล้วยังจะป้ายชื่อร้านอีกเล่า...!!!

มันบอกว่า...ค่าใช้จ่ายในการซ่อมสร้างนั้น มากกว่าที่เราคิดไว้ในตอนแรก ทั้งๆ ที่เพื่อนๆ มาลงแรงช่วยกันทำงาน เงินที่เรามีอยู่ ก็จ่ายเป็นค่าวัสดุ  ค่าสี ค่าเครื่องมือ ค่าช่างทำท่อน้ำทิ้ง ค่าช่างไฟ ค่าอุปกรณ์ดับเพลิง เราต้องใช้ช่างที่มีใบอนุญาตตามกฏหมายกำหนด
ซึ่งแพงแทบจะขูดเลือดซิบๆ รายจ่ายอันนี้ ...พวกเราไม่เคยรู้มาก่อน เพราะความที่ขาดประสบการณ์

แต่...เรื่องที่จะระดมทุนเพิ่มนั้น...หมดหวัง !!!
เพราะพวกเราทุกคนก็ไม่มีรายได้อะไร ที่มีเก็บอยู่นิดๆ หน่อยๆ ก็เอามาลงขันจนหมดแล้ว

ในขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียดอยู่นั้น...ชัย กับ เขียด
ก็เดินเข้าประตูมาด้วยท่าทางรื่นเริงดังเคย...
“อ้าวเจ๊...อยู่กันครบเชียวนะ มีปาร์ตี้เร๊อะ”
ตอนนี้พวกเราชินกับการถูกเรียก “เจ๊” ไปโดยปริยายแล้ว
ไม่มีใครคิดจะโต้แย้งแต่อย่างใดทั้งสิ้น...
“มีอะไรเหรอ...ทำหน้ายังกับญาติเสีย” สองหนุ่มถามอย่างเป็นงง  ที่เห็นพวกเราเงียบจนผิดสังเกต
(เพราะปรกติจะถูกด่าไปแล้ว)
โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:03
ไอ้ศรี เลยเผยความนัยให้ฟังจนหมดเปลือก
ชัยหัวเราะเบาๆ บอกว่า...
“โธ่เอ๊ย...เรื่องแค่นี้เหรอ...ขี้ผง”
“ทำไม...แกมีตังค์มาให้พวกเรายื้มก่อนเหรอ?”
ฉันชักหงุดหงิดในท่าหัวเราะของมัน จนต้องกระชากเสียงถาม...
“เปล๊า...แต่ผมว่า...มันไม่ใช่ปัญหาโลกแตกน่ะซีเจ๊ “
ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น ชัยยังทรุดตัวลงนั่ง
ดึงกระดาษออกมาจดรายการของที่ต้องการใช้ในการเปิดร้าน
โต๊ะ เก้าอี้ นั้นแพงมาก...ชุดหนึ่งก็ร่วมร้อยเหรียญ ตัดปัญหาไป...ไม่ต้องใช้
ชัยกับเขียดไปเอาไม้กระดานจากฝาผนังที่เราเลาะทิ้งไปมายกพื้น ทำเป็นที่นั่งกินแบบขันโตก เพียงแต่เราไปเย็บหมอนอิงใบโตๆ 5-6  ใบมาวางตรงมุม เพื่อให้แขกได้ใช้พิงหลัง โต๊ะวางอาหาร
เราก็ไปซื้อโต๊ะวางที.วี. ในร้านขายของเก่าที่เขาเรียกว่า Flea  Market คล้ายๆ กับตลาดนัดที่บ้านเรา เพียงแต่ใหญ่กว่ามาก จะมีตามนอกเมืองในวันหยุด เสาร์-อาทิตย์

ที่นั่นพวกเราตื่นเต้นมาก ทุกอย่างหาได้ในราคาย่อมเยา
ชนิดถูกสุดๆ หม้อ กระทะ จาน ชาม ซื้อได้ในราคาเหรียญ-สองเหรียญ
เราเลือกใช้ชามทั้งชุด มีทั้งคาวทั้งหวาน ลายเดียวกัน
หกสิบกว่าชิ้น ในราคาไม่ถึง 20 เหรียญ

ไอ้ศรีดูท่ามีความสุขมาก เมื่อมาที่ตลาดนี้ พวกเราหอบข้าวของ ถุงแล้ว...ถุงเล่า เดินกลับเอาของไปไว้ที่รถ
ไม่รู้ว่ากี่รอบ...จักกี่รอบ
ชัยพาเราเดินเลาะไปอีกทางหนึ่ง
บอกว่าเราต้องซื้อพรมมาปูบริเวณที่เสิร์ฟขันโตกที่ว่า
เพราะไม้กระดานนั้นไม่สวยเลย
แล้วเราก็ได้พรมเปอร์เซีย ทำเทียม...ทำแท้ ไม่รู้ละ
แต่ราคาก็แสนจะถูก คนขายดูเหมือนจะดีใจ...ที่ขายออกไปซะได้
เดินออกมาจากละแวกร้านแขกขายพรมเพียงไม่กี่ก้าว
เจ้าเขียด ก็หยุดกึก เดินเข้าไปหยิบแผ่นไม้ จากกองขยะข้างๆ มันเป็นแผ่นป้ายชื่อร้านอะไรสักอย่าง เขียนว่า AMIS
“เอ็งจะเอาไปทำอะไรวะ ไอ้เขียด” ชัยสงสัย
คำตอบของเจ้าเขียดทำให้พวกเราอยากกระโดดจูบมันเต็มรัก!
“อ้าว...เราเก๊าะ แกะตัวอักษรมาเรียงใหม่ ทาสีซะใหม่ เป็น SIAM ไงล่ะ โว๊ย”

พวกฉันทั้งห้า ยืนตะลึงมองคนพูด...มันคิดได้ยังไงเนี่ยยยย???
เจ้าเขียด เด็กหนุ่มจากบ้านนอก(เมืองไทย)...หนังสือหนังหาก็ไม่ได้เรียน...เวลาจะพูดแต่ละที ดอกพิกุลแทบจะร่วง มันมักจะเป็นลูกไล่ของเพื่อนๆ อยู่เสมอ...นึกไม่ถึงเลยว่า...ในท่าทีราบเรียบของมันนั้น...แฝงไว้ด้วยความเป็น
“อัจฉริยะ”

ป้ายร้านนั้น เราได้มาฟรีๆ จากกองขยะ ในสภาพที่ใหม่พอสมควร...เพียงวันเดียวในตลาดนัดฝรั่ง เราได้ของเกือบครบทั้งหมด ทั้งๆที่งบประมาณจำกัดขนาดนั้น...
แทบไม่น่าเชื่อ !!!

นับว่าประสบการณ์ในการเปิดร้าน ที่เราผ่านมาทุกอย่างนั้น
ไม่มีเขียนในตำราไหนๆ ทั้งสิ้น...พวกเราโชคดีที่มีเพื่อนซึ่งมีความรอบรู้นแขนงต่างๆ อย่างกลุ่มชายหนุ่มที่ใครต่อใครเรียกเขาว่า “กลุ่มเหลือขอ” กลุ่มนี้
แต่คนกลุ่มนี้นี่แหละที่ช่วยเหลือเราจนตลอดรอดฝั่ง
ด้วยคำพูดเพียง...
“ช่วยๆ กันไป คนไทยเหมือนกัน !!!”

ทุกอย่างที่สำเร็จนั้น มาจากน้ำใจล้วนๆ
ชนิดที่ฉันไม่มีวันจะลืมเลือนชั่วชีวิตนี้...
โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:04
ทันทีที่เรากลับมาถึงร้าน ต่างก็กุลีกุจอช่วยกันจัดร้านเป็นการใหญ่ ด้วยความเห่อ และ ตื่นเต้น
ไอ้นิด(หญิง)เย็บปลอกหมอนหลายใบเสร็จในคืนเดียว ทั้งๆ ที่แต่ละใบใหญ่ขนาดห่อช้างได้ทั้งตัว...ใช้ได้ทั้งนั่ง
ทั้งพิงในเวลาเดียวกัน

ฉัน...ติดรูปภาพบนข้างฝา พิมพ์เมนู
(ที่ไปลอกเขามาจากที่โน่นที่นี่ )
เพื่อนหุ้นส่วนที่เหลือก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ
จัดของให้เข้าที่ ทั้งในครัว และข้างนอก...
ทุกอย่างเมื่อเสร็จเรียบร้อย ร้านเหลือเล็กนิดเดียว
บริเวณที่จะให้แขกนั่งก็มีแค่บน “ยกพื้น”ที่เราเรียกซะโก้ว่า
“ขันโตก สไตล์” ซึ่งมีเนื้อที่เพียง 12 คูณ 14 ฟุต
อยู่ทางด้านขวามือของร้าน
และอีกทางด้านหนึ่ง อยู่ทางด้านซ้ายมือของประตู มีเนื้อที่เหลืออยู่อีกนิดหน่อย
สำหรับเป็นที่ลูกค้ามานั่งคอย หรือ เข้ามาอ่านเมนู
                  
ฉันเอากระถางใส่ต้นไม้มาวาง จัดมุมให้ดูดี มีโคมไฟห้อยเล็กๆ ดูแล้วน่ารักดี
เนื้อที่จำกัดอย่างนี้จะทำอย่างอื่นก็คงไม่ได้ดีไปกว่านั้น

ทีนี้ก็เหลือแต่เราต้องเรียกเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในด้านอนามัย มาดูสถานที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายว่าจะพิจารณาให้ผ่านหรือไม่ผ่าน ก่อนที่จะไปหาซื้อของสดมาเตรียมไว้ เพราะถ้าซื้อมาก่อนจะทำให้ร้านดูเลอะเทอะ ไม่ถูกสุขลักษณะ
อาจจะเป็นปัญหาทำให้เกิดการล่าช้าของงาน “แกรนด์ โอเพ่นนิ่ง”  ของร้านเราได้

วันนั้น..ฉันเป็นคนรับหน้า เจ้าหน้าที่ที่มาตรวจร้านในวันนัดหมาย
เมื่อถึงเวลา...ชายฝรั่งกลางคน ร่างสูงโย่งผู้ที่เราจะต้องฝากอนาคตไว้ เดินเข้ามาในร้านตรงเวลาเป๊ะ
มาถึงก็แนะนำตัวเอง พร้อมเอกสารประจำตัว...
เขาเดินเข้าไปตรวจตราในครัว ดึงโน่น ดึงนี่มาดู เข้าไปในห้องน้ำ เช็คน้ำร้อน น้ำเย็น
ดูวัสดุดับเพลิงว่าอยู่ในสภาพ และอายุใช้งาน ได้หรือไม่?

หลังจากนั้นเขาก็มานั่งแปะลงบนบริเวณยกพื้นขันโตกของเรา  พลางถามฉันว่า
“แล้วห้องเสิร์ฟอาหารล่ะ อยู่ที่ไหน?”
“เก๊าะ...ที่ยูกำลังนั่งอยู่นั่นแหละ” ฉันตอบ...
ตาโย่งคนนั้นแกกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง .ถามให้แน่ใจว่าฉันล้อเล่นหรือเปล่า...

เมื่อแกรู้ว่า ร้านเราเล็กแค่นั้นจริงๆ สามารถเสิร์ฟคนได้เต็มที่ทีละ 16 คนเท่านั้น
แกก็เซ็นเอกสารให้อย่างไม่ต้องคิด
แถมก่อนจะเดินออกไป ยังอวยพรให้ขายดิบขายดี ซะอีกด้วยแน่ะ !!!

โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:05
พวกเราก็ผวาเข้ากอดคอกันออกอาการที่เรียกว่า หัวเราะทั้งน้ำตา
ทันทีที่เจ้าหน้าที่คนนั้น...ลับตัวออกไปทางประตูหน้าร้าน
เพราะนี่คือปราการด่านสำคัญในการเปิดกิจการร้านอาหารไทย
ผู้ตรวจตรามีสิทธิที่จะ ท้วงทัก หรือไม่อนุญาต
ถ้าเห็นว่า...วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างนั้น ไม่ดีพอหรือ
ท่อน้ำทิ้งไม่ถูกต้องตามลักษณะ หรือทางหนีไฟไม่เข้าตามมาตรฐาน..หรืออีกสารพัดหรือ...อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
ทุกอย่างที่กล่าวมานั้นหมายความว่า...ไม่สามารถจะเปิดกิจการได้  ต้องไปซ่อมสร้างเปลี่ยนแปลงใหม่จนถูกต้อง...

นั่นคือสิ่งที่พวกเราหวาดผวามาตลอดเพราะใครต่อใครพากันเตือนแกมขู่พวกเราประเภทที่ว่า...
"โอ๊ย...เขาลงทุนกันเป็นหมื่นๆ ยังต้องแก้แล้วแก้อีก...ต้องควักทุนออกมาอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่!!”
หรือ...
“โธ่เอ๊ย ให้ใครทำก็ไม่ให้ ไปคบไอ้พวกเหลือขอ เดี๋ยวก็พังไปเป็นแถบๆ ร๊อก!!”

ข้อปรามาสเหล่านี้เล่นเอาพวกเราขวัญหนีดีฝ่อ
ถึงกับกราบไหว้อ้อนวอนพระกันทุกคืน...ถ้าหาก...ผลออกมาในด้านลบ นั่นหมายถึงความยุ่งยากนานานับประการ
จะตามมาเพราะเป็นที่รู้ๆ กันว่าทุนเหลือน้อยเต็มที่น้อย

อีกทั้งเรารู้อยู่แก่ใจว่า...ทุกอย่างที่ดำเนินมานั้น...พวกเราทำกันเองเป็นส่วนใหญ่...ฉะนั้นการที่ได้รับอนุญาตในการเปิดกิจการอย่างง่ายดายครั้งนี้
นับว่า...คุณพระคุณเจ้าช่วยโดยแท้ หรือจะว่าอีกที
เรียกว่า...เฮงมหาเฮง ก็คงไม่ผิดนัก!!

ขณะที่เรากระโดดโลดเต้นด้วยความปิติยินดีกันอยู่นั้น...
“พวกเหลือขอ” พากันเดินเข้ามาทั้งกลุ่มเมื่อรับทราบข่าวดี...
เจ้าอุ๋ย จอมโวยวายก็ทวงเรื่องเลี้ยงข้าวทันที...ตกลงเป็นอันว่าเลี้ยงที่ร้านเรานี่แหละ จะได้เป็นการทดลองการทำงานและรสชาติอาหารตามเมนูที่จะใช้บริการโดยมีข้อแม้ว่าพวก
“หนูทดลอง” ทั้งหลาย...จะมานั่งเฉยๆ ไม่ได้ ต้องมาช่วยกันทำ...!!

ฉันรับอาสาไปซื้อของแห้งของสดที่ตลาดโดยเอาเจ้าเขียดติดไปด้วย ไปช่วยกันหิ้ว...
ระหว่างที่สาละวนทำกับข้าวกันในครัวที่แสนจะเล็กเท่าแมวไม่ดิ้นก็ตายนั้น...
ชัยกวาดตามองไปรอบๆ แล้วถามพวกเราโดยเฉพาะ ไอ้ศรี...ว่า
“พวกเจ๊...จะเปิดร้านอยู่วันสองวันนี่แล้ว...ทำไมไม่สต๊อกของล่ะ พวกของสดของแห้งน่ะอย่างเครื่องกระป๋องที่ต้องใช้ ต้องเอามาจัดให้เข้าหมวดหมู่แต่เนิ่นๆ ไม่งั้นยุ่งตายห่ะ...”
พวกเราหันมามองตากัน...อย่างเห็นจริง...แต่...ศรี...ตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า...
“เราไม่มีทุนเหลือมากพอที่จะสต๊อกของอย่างที่นายว่าหรอกนะ...ว่าจะซื้อปลีกเฉพาะใช้วันต่อวันน่ะ
“อารายนะเจ๊...เจ๊จะเล่นซื้อวันต่อวันเนี่ยนะ...ตายตาย...แล้วซื้อปลีกเนี่ยมันแพงกว่าซื้อยกลังตั้งเยอะตั้งแยะ
กำไรจะไปเหลือหรือเจ๊ ..?"
“เก๊าะ เราต้องทำอย่างนั้นไปก่อน...พอมีทุน เราค่อนสต๊อกของ พวกเราต้องกันเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าเช่าค่าไฟ
เราไม่รู้แต่แรกไง...ว่า...ต้องซ่อมอะไรมากมาย ค่าวัสดุก้อไม่ใช่ถูกๆ   นี่ขนาดพวกนายมาช่วยนะไม่งั้นเห็นท่าจะไม่รอด...เนี่ย...พวกเรายังเป็นหนี้บุญคุณพวกนายจนแทบจะใช้กันไม่หมดเลยเชียวนะ”
ศรีรีบอธิบายถึงสถานการณ์ให้เป็นที่เข้าใจ

ชัยพยักหน้าหงึกหงัก...นิ่งคิดสักครู่
ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนพร้อมคว้ากุญแจรถ
บอกว่า “เดี๋ยวมา...”

ไม่มีใครรู้ว่า...เขาจะไปไหน หรือไปทำอะไร...แต่จากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ชัยขับรถอเมริกันคันยาวของเขามาจอดที่หน้าร้าน
ปากตะโกนเรียกเพื่อนไปช่วยยกของโขมงโฉงเฉงแล้วพาตัวเองเข้ามาในร้าน...ยื่นบิลใบหนึ่งให้ฉันพร้อมกับส่งปากกาให้เซ็น
ฉันมองมันอย่างงุนงง มันเป็นรายการยาวเหยียด...มีทั้ง ข้าวสาร  น้ำปลา กะทิ เครื่องแกง เครื่องปรุงต่างๆ
เป็นจำนวนเงินนับร้อยเหรียญ...
“เฮ้ย...อะไรกันวะ” ฉันโวยวา
“เออ...เหอะน่า...เซ็นรับของไปเหอะ...ตังค์ยังไม่ต้องจ่าย
ได้เครดิตมาเดือนนึงถ้าจะขอสี่สิบห้าวันก็ได้นะ”
ชัยตอบอย่างง่ายๆ ด้วยท่าทางสบายๆ
“นายไปเอามาจากไหน?” พวกเราฝ่ายหญิงทุกคนถามขึ้นแทบจะพร้อมๆ กัน

“ก็...ไอ้เจ้าของบริษัทส่งของพวกนี้...มันเอารถบรรทุกของที่จะไปส่งตามร้านอาหารหยั่งของเจ๊น่ะ  มาฝากจอดที่รถที่พวกผมทำงานทุกคืนแหละ...เพราะมันไม่ต้องจ้างยามเฝ้าโกดังมันไง...อาศัยพวกผมเป็นหูเป็นตาเฝ้าให้มัน...ขอมันช่วยแค่นี้จะเป็นไรไป...ผมบอกว่าเป็นร้านของญาติกัน”

ฉันรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก...จะว่าซาบซึ้งในน้ำใจ ก็คงน้อยไป...รู้แต่ว่า...คำจำกัดความของ “มิตรภาพ”
ในเวลานั้น...มันช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน...ฉันหันไปมองหมู่ผองเพื่อน ทุกคนมีสีหน้าคล้ายๆ กัน
ศรี...ถึงกับน้ำตาซึม...คอหอยตัน พูดอะไรไม่ออก ปากได้แต่ขมุบขมิบเอ่ยคำว่า “ขอบใจนะ”
เบ๊า..เบา...จนพวกเราแทบไม่ได้ยิน
โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:05
อาหารค่ำวันนั้น...นอกจากจะสนุกสนาน
อีกทั้งยังได้ความรู้อีกหลายๆ ด้านที่ไม่เคยรู้มาก่อนจากปากของ  “กลุ่มเหลือขอ”...ที่ใครต่อใครคิดว่า...ไร้สาระสิ้นดีนั้น...ประมวลว่าดังนี้
“เจ๊...ต้องเตรียมน้ำซุปไว้ตลอดเวลาหนึ่งหม้อนะ...ปรุงให้ดี  อาหารจะอร่อยหรือไม่ก็ตรงนี้แหละ
เอาไก่ตรงส่วนน่องกับขาน่ะมาทำ...”

“จ๊ะ...ต้องหั่นผักที่จะใช่ใส่ถุงพลาสติกแล้วเจาะรูให้อากาศออกได้ด้วยนะ จะได้ไม่เน่า...”

“เจ๊...หั่นพวกเนื้อเตรียมไว้ใส่ถุงพลาสติกไม่ต้องให้ใหญ่มากนักนะ กดให้แบนก่อนที่จะแช่ตู้แข็งเพราะจะได้เย็นเสมอกัน และซ้อนกันได้หลายๆ ถุง ไม่เปลืองที่ในตู้แช่ด้วย”

“เจ๊...กะทิน่ะ...เคี่ยวไว้ได้ล่วงหน้า สำหรับน้ำแกงแพนง...เจ๊ทำไว้เลยได้แช่แข็งเอาไว้พอจะใช้เอาขึ้นตั้งไฟ
ใส่เนื้ออะไรก็ตามแต่ เดี๋ยวเดียวเสร็จ”

“เจ๊...ผัดไทยน่ะ เรื่องมากสุดๆ เพราะเครื่องที่จะใส่มันเยอะ  น้ำส้ม น้ำปลา น้ำตาล เจ๊ผสมเอาไว้เลยตามสูตรที่ชอบ พอจะผัดก็ตักส่วนที่ผสมไว้แล้วใส่ไปเลยผัดกี่ครั้งรสชาติก็จะเหมือนเดิม...”

ฉันเองนั้นแสนจะข้องใจ...จนต้องถามว่า...
“ทำไมพวกแกถึงรู้มากนักวะ?”
“โธ่ ไม่รู้ได้ไง...พวกผมทำงานในร้านอาหารมาตั้งแต่เรียนไฮสกูล หาตังค์ใช้เองตั้งแต่ไหนแต่ไรทำมาหมดแหละ ร้านไทย จีน ฝรั่ง
พูดแล้วจะหาว่าคุย เหยียบขี้ไก่แห้งคารองเท้าไปหลายคู่แล้ว!!”
เต๋าลอยหน้าลอยตาตอบเป็นเรื่องตลก...แต่...นั่นคือเรื่องชีวิตจริงของเขากลุ่มนี้...

ไอ้ศรี...ก้มหน้าก้มตาจดลงสมุดยิก...ชนิดไม่มีให้ข้อมูลผิดพลาด
เรากะแผนการณ์กันว่าจะเปิดร้านกันในวันสองวันนี้...
ตอนนี้ทุกคนจะต้องมาช่วยกันตระเตรียมข้าวของที่จะใช้...

ฉันและ ไอ้นิด(หญิง) จะเป็นบริกร รับหน้าที่เสิร์ฟ
ในระยะแรกนั้นร้านจะเปิดเฉพาะช่วงเย็นเพราะศรียังคงทำงานที่โรงแรมเหมือนเดิมในตอนเช้าตรู่
บ่ายสองโมงจึงเข้ามาเตรียมของในร้าน คนอื่นๆ
ก็สลับกันทำในครัวบ้าง ออกมาเสิร์ฟบ้าง...ไม่ว่าใครจะทำหน้าที่อะไร...เราจะแบ่งทิปตามจำนวนคนเท่ากัน...
นั่นคือข้อตกลงอันเป็นเอกฉันท์

ในสองวันแห่งการเตรียมงานนี้...ฉันได้รู้ซึ้งถึงคำว่า...กว่าจะหาได้แต่ละบาทเลือดตาแทบกระเด็น ที่ผู้ใหญ่ชอบพูดกันนัก

ต้องแกะของออกจากลัง ปีนขึ้นไปจัดบนหิ้ง...แต่ละกระป๋องใหญ่ยักษ์ หนักจนข้อแขนล้า...

ต้องหั่นเนื้อ...หมู ไก่ ปอกกุ้ง จัดใส่ถุง เขียนวันที่...

ต้องหั่นผัก ปอกหอม...กระเทียม เป็นกาละมัง

เคี่ยวกะทิ เคี่ยวน้ำตาล อีกทั้งต้องเสียบไม้สะเต๊ะ ทั้งหมู
ทั้งไก่

ผัดไส้ปอเปี๊ยะ...และนั่งห่อ กันจนดึกจนดื่น...

เตรียมเครื่องกระจุกกระจิก เช่น พริกน้ำส้ม หั่นพริกแช่น้ำปลา  คั่วพริกแห้ง ทำพริกป่น...

ทุกอย่างที่กล่าวมานั้น...สำหรับฉันนั้นออกจะเก้งก้าง เงอะงะ  เชื่องช้าจนดูเกือบจะเหมือนกินแรงเพื่อนๆ
เพราะด้วยความที่ไม่เคยมีพื้นความรู้และความชำนาญในเรื่องนี้มาก่อน

ฉันคิดถึงบ้านที่เมืองไทยอย่างจับใจในคราวนี้...
สุดแสนเสียดายโอกาสงามๆ ที่ผ่านไปในชีวิตวันเยาว์...เพราะผู้ใหญ่ในบ้านฉันแต่ละคนนั้นล้วนเป็นยอดฝีมือในการทำอาหารทั้งคาวทั้งหวานจนเป็นที่ขึ้นชื่อลือชา
ที่...ใครต่อใครมาขอตำราขอมาเรียนอยู่เนืองๆ
แม้กระทั่ง...ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์
แต่...ฉันซิ...เป็นลูกเป็นหลานโดยตรงแท้ๆ
กลับละเลยไม่สนใจ..ใฝ่หาวิชาอันมีค่าที่นับวันจะสูญหายไปนั้นมาประดับให้เป็นศรีสง่า แก่ตัวเอง...
อย่างนี้...ไม่เรียกว่า "เสียชาติเกิด" แล้วคำไหนจึงจะเหมาะกันเล่า???

โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:06
ในที่สุด...เราก็ได้ฤกษ์เปิดร้านสยาม ไทยเรสตัวรองท์เล็กๆ ของเราในสองวันต่อมา
จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันพฤหัสฯ ปลายๆเดือนมกรา  พ.ศ.อะไรช่างมันเถอะ...ร่วมสามสิบปีเข้านี่แล้ว
                 
แต่กว่าจะเปิดได้ก็เล่นเอาเหนื่อย
เพราะความเห็นของหุ้นส่วนเริ่มไม่ตรงกัน...ในหัวข้อว่า...จะลงประกาศโฆษณาหรือไม่?
เพราะทันทีที่ร้านเสร็จก็มีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเล็กๆ หลายฉบับมาติดต่อให้เราลงโฆษณาด้วย
แต่ละฉบับก็มีหลักการในการคิดค่าโฆษณาต่างๆ กัน เช่น
จ่ายเงินสดบ้าง จ่ายเป็นคูปองอาหารบ้าง สิ้นเดือนจ่ายที หรือ สามเดือนจ่ายที...
แต่เราต้องทำสัญญาผูกขาดกันทั้งปี ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่ใช่น้อยๆ เลย

ไอ้ศรี...แม่หัวเรือใหญ่ ปฏิเสธมันทุกราย ด้วยเหตุผลที่ว่า
...ร้านเราเล็กกระจิ๋วหลิวเดียว โฆษณาไปก็ไอ้เท่านั้น
กำไรที่ได้มาก็ต้องจ่ายกับการนี้ ไม่เห็นจะคุ้มเลย
สู้ให้คนเอาไปพูดปากต่อปากจะดีกว่า แล้วอีกอย่างหนึ่ง
ถ้าคนเกิดแห่กันมา ร้านเล็กๆ อย่างนี้จะเอาที่ไหนให้เขานั่ง!!!
เหตุผลข้อนี้ทำให้ทุกคนจึงค่อยๆ เงียบเสียง...เห็นจะจริงของมัน

วันนั้น พวกเรามาที่ร้านตั้งแต่เช้า กวาด เช็ด ถู
กันจนเรี่ยมเร้เรไร ฉันเช็ดแก้ว เช็ดจานทุกใบ แล้ววางจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย หมอนอิงถูกตบจนฟู
ดูน่านั่งฝังตัวพร้อมจิบไวน์ ...

4 โมงตรง...ไอ้ศรีต้อนพวกเรามาสวดมนต์...ตั้งนะโม 3 จบ แล้วอธิษฐานขอแต่สิ่งดีๆ ให้บังเกิดขึ้นในร้าน ต่างคนต่างขอแล้วแต่ใครจะขออะไร เสร็จแล้วก็เปิดป้าย OPEN
พร้อมกับเปิดประตูหน้าร้าน...

แค่พวกเรา 5 คนก็ดูแน่นร้านแล้ว จึงกระจายกันไปตามหน้าที่ ศรี..เป้า.. ตุ่ม ไปอยู่ในครัว ฉันกับ นิด รอรับแขกรายแรก ที่จะเข้ามา...

ครึ่งชั่วโมงก็แล้ว...ชั่วโมงหนึ่งก็แล้ว...ยังไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว
นอกจากหนุ่ม-สาวคู่หนึ่งที่มาหยุดอ่านเมนูที่หน้าร้าน
...แล้วก็เดินเลยไป

ไอ้นิดถอนใจออกมาด้วยความผิดหวัง
แต่มันก็ยังปลอบใจฉัน(และตัวมันเองด้วยมั้ง)ว่า...
“วันแรกๆ ก็คงเป็นอย่างงี้ละนะ ทุกร้านแหละ
ดูอย่างร้านนังพี่จีซิ...ยังต้องเรียกเราไปนั่งเป็นหน้าม้าเลย”

ทันทีที่พูดจบ เสียงปิดประตูประตูดังปังที่หน้าร้าน!
คนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามา...หน้าตาคุ้นๆ ทั้งนั้น
ไม่ใช่ใครอื่นไกล คณะ “เหลือขอ” พร้อมกับเพื่อนสาว...แหม่มเอ๊าะๆ คู่ควงพวกเค้านั่นแหละ ทั้งหมด 10 กว่าคน กรูเกรียวกันเข้ามา
นั่งประจำที่...อิงหมอน ชนิดคู่ใครคู่มัน

“เจ๊...วันนี้พวกผมเป็นลูกค้านะ คิดตังค์เต็มที่
เขียดมันจะเลี้ยง เพราะเมื่อคืนมันได้สนุ๊กมาหลาย”
เต๋ารีบประกาศ แล้วยังหันไปทางพวกสาวๆ
ให้สั่งอาหารกันตามชอบใจ...ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม
พวกเราแทบจะวิ่งหัวชนกัน  หยิบไอ้โน่น...ลืมไอ้นี่...ในครัวก็ช่วยกันมือเป็นระวิง เตา 4 เตาที่ทำหน้าที่หุงต้มอยู่นั้นแทบจะไม่พอใช้  อาหารแต่ละอย่างใช้เวลาปรุงนานกว่าจะเสร็จ
ไอ้ศรี ไอ้เป้า ไอ้ตุ่ม เริ่มออกอาการเครียดชนิดไม่พูดไม่จา
โชคดีที่คืนนั้นแขกในร้านทั้งหมดคือเพื่อนเรา...ทุกอย่างเลยพออภัยกันได้

แต่พอรุ่งเช้า...ชัยมาที่ร้านแต่เช้ามีท่าทางเป็นห่วงกับความเป็นมือใหม่ของพวกเราอย่างเห็นได้ชัด
“เจ๊...ผมว่าเมนูเจ๊มันเยอะไปนะ เล่นออกรายการมาแต่ละอย่าง   ผมว่าในครัวทำไม่ทันหรอกนะ ลดๆ ลงซะบ้างเหอะ   พวกเนื้อแดดเดียวที่ต้องอบแล้วเอามาทอดเนี่ย...มันช้า แล้วส้มตำ..ขืนมาสับมะละกอตอนจะตำแต่ละทีก็คงรอกันหายอยาก เจ๊ต้องสับไว้ล่วงหน้านะ ผมว่า...
อ้อ...ปีกไก่ทอดกรอบน่ะ เจ๊ต้องทอดไว้ให้สุกก่อน
พอแขกสั่งค่อยเอาลงไปทอดให้กรอบอีกที”

ฉันแทบไม่เชื่อเลยว่า...ผู้หญิงอย่างเราๆ 5 คนนี่ต้องมานั่งฟังผู้ชายวัยไล่เลี่ยกันนั่งสอนเรื่องการจัดระบบทำอาหารในเชิงพาณิชย์
และทุกสิ่งที่เขาพูดมานั้น...มันถูกต้องทั้งสิ้น
อย่างที่ฉันว่า...ประสบการณ์ชีวิต คือ มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก !!!

พวกเราแสร้งทำเป็นโต้แย้ง เล็กๆ น้อยๆ เพราะกลัวเสียฟอร์ม
แต่เมื่อชัยลับร่างออกไป...เมนูทั้งหมดถูกรื้อออกมา ขูด ขีดฆ่ากันจ้าละหวั่น
"ไอ้นิด...เมี่ยงคำของแกนี่เอาออกนะ..."
"ไอ้เป้า...แกงเลียงสูตรแม่แก ก็เอาออกเหอะ..."
"ไอ้ตุ่ม...ห่อหมกของโปรดแกเอาไว้ไม่ได้ว่ะ...”

สรุปว่า...เมนูของของเราก็เลยออกมาพื้นๆ ประเภทผัดๆ ต้มๆ เหมือนกับร้านพี่จีที่พวกเราเคยด่าไว้ ยังไงยังงั้น

วันต่อๆ มา...กิจการของเราก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่
แขกที่มาก็เป็นยายแก่  ตาแก่ที่อาศัยอยู่บนอพาร์ตเม้นท์ข้างบนนั่นแหละ
มิสซิสปาร์ค เจ้าของร้านที่เราเช่าอยู่แวะเวียนมาทำปากหวานให้กำลังใจ หรือ อีกนัยหนึ่งก็คอยมาดูว่าเราจะไปกันรอดไม่รอดนั่นเอง

การทำกิจการด้วยตัวเองครั้งนี้ พวกเราได้บทเรียนสอนใจหลายอย่าง
บทที่หนึ่ง...คือ กลเม็ดของเจ้าของผู้ให้เช่าจอมงก
เจ้าของจะต้องเป็นผู้ดูแลสถานที่รอบนอก ทางเดินเท้า ใบไม้ที่ร่วงเกลื่อนหน้าร้าน ต้นไม้ต้องมีการตัดแต่ง
ซึ่งจะต้องมีผู้รับจ้างทำให้ประจำ รับค่าจ้างรายชั่วโมง
หรือรายเดือนจากเจ้าของสถานที่
แต่อยู่ไปอยู่มา ไม่มีใครมาทำให้
เศษไม้ใบหญ้าเกลื่อนหน้าร้าน ครั้นถามเข้า มิสซิสปาร์ค ตอบว่า...
“ตายจริง ฉันลืมบอกพวกเธอไปว่า จอห์น
คนทำสวนลาออกไปแล้ว...นี่ฉันกำลังรับสมัครคนใหม่อยู่
ต้องคอยหน่อยนะ เพราะฉันอยากได้คนดีที่ไว้ใจได้จริงๆ”

นั่นหมายความว่า...พวกเราต้องกวาดกันเอง
เพราะไม่งั้นทางเข้าร้านเราก็จะดูเลอะเทอะ
มันเป็นอะไรที่เราคอยไม่ได้แน่นอน

ต่อมาฝนเริ่มตก และลมพัดแรงตามฤดูกาล
ด้านหลังครัวเรามีน้ำรั่วซึมไหลลงมาเป็นทาง
มิสซิสปาร์คอ้างว่าต้องคอยบริษัทประกันมาสำรวจความเสียหายก่อน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาสักอาทิตย์-สองอาทิตย์...
แน่นอนว่า..เราคอยไม่ได้เหมือนกัน ก็เลยต้องวาน “พวกเหลือขอ” มาช่วยซ่อมให้

ไม่ว่าจะเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบ
ยายเจ้าของตึกเชื้อสายยิวนี่จะต้องบ่ายเบี่ยงซื้อเวลาทุกครั้ง  จนตอนหลังพวกเราไม่เคยบอก หรือ ขออะไรอีกเลย
เพราะรู้ดีว่า...ป่วยการพูด

เดือนแรกที่เปิดขายทั้งเดือน พวกเราเฉียดฉิวในด้านรายรับ-รายจ่าย  จะว่าขาดทุนก็ไม่ผิดหรอก
เพราะพวกเราไม่มีใครได้ค่าจ้างในการทำงาน...แม้แต่ศรี จอมวางแผน!

ทุกคนเริ่มเครียด เหน็ดเหนื่อยกันถ้วนหน้า อาการหัวร่อต่อกระซิก  เจ๊าะแจ๊ะระหว่างเพื่อนฝูงเริ่มจางหายไป เรื่องตะบึงตะบอน  พูดจาไม่เข้าหู เริ่มเข้ามาแทนที่

เดือนต่อมา...ไอ้เป้า ไอ้นิด ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง  ผลก็คือ...โกรธกันชนิดที่ไม่มองหน้ากัน ทั้งคู่ถอนสภาพหุ้นออกไป
และ...ไม่กลับมาที่ร้านอีกเลย

ฉัน ไอ้ตุ่ม ไอ้ศรี ก็จะวางมวยกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
เพราะไอ้ศรีมันเปลี่ยนไปมาก
มันชอบว่า...ว่า...พวกเราไม่เอาไหน ทำงานไม่จริงไม่จัง
เพราะอนาคตไม่คิดจะอยู่ที่นี่...
มันชอบว่า...ว่า...มันเหนื่อยอยู่คนเดียว...ยืนหน้าเตาทั้งวัน...ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน...
มันชอบว่า...ว่า...พวกเราไม่ช่วยกันประหยัด
เปิดโค้กแล้วกินกันไม่หมด วางทิ้งเกลื่อน ฯลฯ

สรุปว่า...มันไม่ชอบใจในทุกๆ เรื่อง ฉันเลยตัดสินปัญหาให้มัน  โดยพูดกันอย่างเปิดอกว่า...
“เอางี้ ไอ้ศรี ฉันจะมาช่วยแกอีกหนึ่งเดือน แกทำไปคนเดียวเถอะน้านเนี่ย..ไม่ไหวก็ขายคนอื่นไป
เงินแกมีเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืนฉัน แต่จากนั้นฉันไม่ทำแล้วนะ.. ไม่อยากเสียเพื่อนว่ะ”

ไอ้ตุ่มเห็นด้วย มันว่า...มันคิดอย่างเดียวกับฉันเปี๊ยบเลย
และขอล้างมือเหมือนกัน
ศรีเริ่มรู้สำนึก ขอโทษขอโพยใหญ่โต
แต่...มันสายไปเสียแล้ว
เพราะความรู้สึกนั้นมันสะสมมานาน...นานเกินกว่าที่คนใจร้อนอย่างฉันจะเยียวยาให้ฟื้นคืนดีขึ้นมาได้
โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:07
ชัยและคณะรับรู้เรื่องระหองระแหงของพวกเรามาโดยตลอด พวกเขาทั้งหมดพยายามบอกให้พวกเราหันหน้าเข้าคุยกัน อย่างน้อยก็เห็นแก่มิตรภาพอันดีงามแต่ครั้งเก่าก่อน
แต่ก็ไม่มีผลอันใด เพราะพวกเราทั้งสามคนนั้น
ยังเป็นเด็กเกินไปที่จะรู้จักใช้เหตุผลเข้าแก้ปัญหานั่นเอง

จนในค่ำคืนวันหนึ่ง...ชัยพาเพื่อนชาวฮิปปี้คนหนึ่งเข้ามาเลี้ยงในร้านเรา  นายฮิปปี้คนนั้นทานข้าวไปก็ถามโน่นถามนี่
โชคดีที่วันนั้นฉันอารมณ์ดี เลยคุยกันได้ยาวหน่อย...

จากนั้น สอง-สามวันต่อมา ขณะที่เดินทางมาทำงานที่ร้าน
ฉันและตุ่มต้องประหลาดใจที่เห็นคนมุงหน้าร้านจนแน่นขนัด...ฉันตัวเย็นเยียบ
คิดในใจว่า...ต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแน่ๆ !

ไอ้ศรีหน้าตาตื่น ออกบอกว่า...
“เร็วเข้า...พวกนี้เขามาตามข่าวหนังสือพิมพ์ ลงเรื่องร้านเรา  เขารอจะเข้ามากิน เร็วๆ เข้าแก...”
“หนังสืออะไรวะ...ศรี?” ฉันถามอย่างงงงวย
ศรียื่นหนังสือพิมพ์ในมือส่งให้ฉันอ่าน ปากก็เล่าว่า
“แกจำได้มั้ย...ตาฮิปปี้ที่เจ้าชัยมันพามาในวันนั้นน่ะ
มันเป็นนักเขียนใหญ่ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องอาหารในหนังสือเนี่ย  เขียนให้เราซะดีเชียว คนเลยแห่กันมานี่ไง”

ฉันแทบไม่เชื่อหู  ถ้าไม่เห็นด้วยสายตาตัวเองว่า...เพียงข้อความไม่กี่บรรทัดนั้น สามารถพลิกโชคชะตาพวกเรา...อย่างชนิดที่กลับหน้ามือเป็นหลังมือ...
ใครจะว่า...สื่อโฆษณา นั้น ไม่สำคัญ...
รับรอง...ฉันเถียงขาดใจ !!!

คืนนั้น...หลังจากปิดร้านแล้ว
พวกเราเหนื่อยเสียจนแทบจะสลบคาที่โชคดีที่ได้เต๋ามาช่วยฉันเสิร์ฟ เพราะตุ่มต้องเข้าไปช่วยศรีในครัว...

มาลำดับนึกถึงภาพแล้วยังขำไม่หาย
ลูกค้านั่งกันแน่นบนลานขันโตกเล็กๆ ของเรา
จนไม่สามารถจะแทรกตัวเข้าไปเสิร์ฟอาหารได้ ต้องส่งผ่านกันต่อๆ ไป
ลูกค้าสนุกสนานมากผสมโรงคุยกันครึกครื้น
ยิ่งนายเต๋าเข้ามาร่วมวงคุยเรื่องโปกฮาระหว่างที่รออาหารเข้าไปอีกเฮฮากันราวกับมีปาร์ตี้
ทั้งๆ ที่ก่อนมานั้นไม่รู้จักกันสักนิด...

จากนั้นมา ร้านสยามของเราก็ฮิตติดอันดับ ลูกค้าแน่นแทบทุกคืน
ถึงขนาดต้องจองคิวล่วงหน้า นานวันเข้าเงินทองเริ่มไหลมาเทมา
ความจริงสำหรับคนอื่นๆ มันไม่ได้มากได้มายอะไรแต่สำหรับพวกเราแล้วนั้น...มันยิ่งกว่ามหัศจรรย์บังเกิด...!!!

ฉันและตุ่ม ออกอาการเพ้อเจ้อ ซื้อทุกอย่างที่อยากได้
ยามว่างก็พากันเดินกรีดกรายไปตามศูนย์การค้าที่โน่นที่นี่...หนักเข้าเริ่มมีบัตรเครดิตของห้างต่างๆ มาเรียงใส่ในกระเป๋า อยากได้อะไร เพียงแค่เซ็นชื่อแกร๊กเดียว
สิ่งของที่ต้องการก็จะลอยใส่ถุงมาให้ดังใจ...

ไอ้ศรีผู้แก่กล้าวิชาสารพัดเหนียว ยังอดไม่ได้
ที่จะถอยรถใหม่ป้ายแดงมากะเขาคันหนึ่งมันก็สมควรแก่เวลาอยู่หรอกเพราะไอ้คันเก่าของมัน...ให้ฟรีๆ
ยังไม่มีใครเอา!!
แต่มันคอยเตือนพวกเราอยู่เสมอถึงเรื่องใช้เงินใช้ทอง
รวมทั้งเรื่องดอกเบี้ยมหาโหดของบัตรเครดิตต่างๆ ที่ว่า
ห้างพวกนี้จะเอานโยบายผ่อนน้อย ระยะยาวและวงเงินสูง มาหลอกล่อลูกค้าให้ตายใจผ่อนจำนวนเงินต่ำต่อเดือน
ตามที่ห้างบอกมา พอสิ้นปี ดอกเบี้ยนั้นมีการทบต้น

แต่พวกเราหาฟังไม่ กลับยิ่งสำเริงสำราญเข้าห้างโน้นออกห้างนี้ แต่งตัวกันเปรี้ยวสุดฤทธิ์ให้สมดังที่ใครๆ
เขาไปร่ำลือว่า...ร้านนี้มีสาวไทยสวยบาดใจ!!

ไม่รู้ใครนะที่พูดว่า...
“พระเจ้ามักจะไม่ประทานสติและโชคให้ในเวลาเดียวกัน”
อย่างในกรณีเรานี่ละมัง
ฉันและตุ่ม ฟุ้งเฟ้อไปตามกระแสแฟชั่น
เพราะสภาพเงินในกระเป๋าคล่องนัก รับสดๆ ทุกวัน วันละไม่น้อย
ไม่มีใครคิดที่จะเก็บหอมรอมริบ มิหนำซ้ำยังสนุกกับการร้าง  “หนี้ “ อย่างไม่รู้จักหยุดจักหย่อน
มองเห็นการที่พกบัตรเครดิตเป็นปึกๆ นั้นคือ...ความโก้หรู
ฉันคิดอย่างผยองในใจตลอดเวลาว่า...การทำธุรกิจในอเมริกานี่...เรื่องขี้ผง!!!

ร้านของเรา ถึงแม้จะเล็กนิดเดียวแต่...ชื่อเสียงไม่เป็นรองใคร ศรีได้ขยายเพิ่มเติมทางด้านหลัง
ให้ครัวใหญ่ออกไปอีกหน่อย...แน่นอนเราต้องลงทุนเพิ่ม
นั่นไม่เป็นปัญหา
มิสซิสปาร์คเจ้าของตึกก็อนุญาตด้วยวาจาและเห็นดีเห็นงามไปด้วย...ระยะหลังแกชักจะเข้ามาดูกิจการของเราบ่อยๆ
ปากก็ชมเชยสรรเสริญความสามารถของพวกเราอย่างปลาบปลื้ม...
ไม่มีใครสักคนในกลุ่มเราสังหรณ์เลยสักนิดว่า
เพียงไม่กี่อาทิตย์ต่อมาหลังจากที่เราได้ปรับปรุงขยายครัวใหม่เสร็จเรียบร้อยนั้น...
ในเช้าวันหนึ่งบุรุษไปรษณีย์ได้มาส่งจดหมายลงทะเบียนให้เราคนใดคนหนึ่งเซ็นรับ
เป็นจดหมายจากสำนักงานทนายความของมิสซิสปาร์ค ใจความว่า...
“ตามสัญญาเช่า สถานที่ประกอบการค้า เลขที่...
โดยนางสาวศรีรัตนา ผู้เช่า กับ มิสซิสปาร์ค ดอลลี่ ผู้ให้เช่า ระบุไว้ว่าการเช่านั้นทำเป็นรายเดือนโดยผู้เช่าและผู้ให้เช่าสามารถยกเลิกสัญญาเช่าได้
โดยให้โนติสแก่กันภายในระยะเวลา 60 วันนั้น...
บัดนี้ ผู้ให้เช่า มีความประสงค์ที่จะใช้เนื้อที่ตรงนี้
เพื่อประกอบการอื่นอันเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวและผู้อยู่ในความดูแล
จึงขอยกเลิกสัญญาเช่า 60 วัน นับจากนี้ไปฉะนั้น
จึงขอให้นางสาวศรีรัตนา จงโยกย้ายสิ่งของที่ออกไป
พร้อมกับคืนสถานที่ให้กับผู้เช่าตามสภาพเดิม ยกเว้น
สิ่งก่อสร้างที่ยึดติด จะทำการเลาะรื้อไม่ได้...!!!”

ลงชื่อ (นายแมวอะไรสักคนหนึ่ง)

คาดว่าเป็นทนายความที่ดูแลผลประโยชน์ให้กับยายแก่จอมงก

พวกเราทั้งหมด...มองหน้ากันเลิ่กลั่ก...ตะโกนออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน... “อะไรกันนี่...ศรี”???
ศรีเองก็ทำหน้างุนงง แต่สีหน้านั้นซีดเผือด...
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!!
โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:08
เพราะตอนทำสัญญา พวกเราไม่มีใครว่าง
ศรีไปทำคนเดียวกับยายมิสซิสปาร์คตัวแกเองก็ออกจะเอื้อเอ็นดูพวกเราอย่างมากมาย
เรียกแต่ละทีก้อหวานเพราะเสนาะหู “มายดาร์ลิ่งส์” อย่างงั้น   “มายเบบี้ส์” อย่างงี้...
พร้อมออกจะพูดบ่อยๆ ว่า...ดีใจที่มีพวกเราอยู่ใกล้ๆ แกก็หวังจะได้พึ่งเป็นหูเป็นตา ด้วยว่า แกน่ะ แก่แล้ว กะจะฝากผีฝากไข้กับพวกเรา ว่างั้นเถอะ
แต่แล้วอะไรกันนี่...เพียงแค่ไม่กี่เดือน จดหมายขับไล่
ส่งมาวางอยู่ตรงหน้านี่เอง...

ศรีพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า...ที่ทำอย่างนั้นเพราะ
มิสซิสปาร์คเจ้าเล่ห์หว่านล้อมว่า..ศรีไม่ควรจะผูกมัดตัวเอง
ถ้าเกิดร้านไปไม่รอด เพื่อนฝูงทิ้งไปคนละทางสองทาง
ศรีจะได้ไม่ต้องแบกภาระกับร้านเป็นปีๆ
และตัวแกเอง ไม่มีวันที่จะ “ทำร้ายจิตใจ” พวกเราแน่นอน
เอาเป็นสัญญาง่ายๆ เดือนต่อเดือน อย่างกับเช่า
อพาร์ตเม้นท์ ก็แล้วกัน...

ศรีก็หลงในคารม ด้วยความที่อ่อนต่อโลก และมองเห็นว่า คนแก่ๆ ไม่น่าจะมีพิษมีภัยกระมัง
สัญญาเช่านั้น จึงได้ออกมาในรูปฉะนี้!!

และบัดนี้...ร้านเล็กๆ ของเรามันไม่ใช่ร้านเน่าๆ
อย่างที่เคยเป็นร้านแซนวิชมาก่อน
ด้วยฝีมือบวกมันสมองของพวกเรา...และกลุ่มหนุ่มพรรคเหลือขอ..เนรมิตมันให้กลายมาเป็นเป็นร้านเล็กๆ
ที่ดูออกจะดีและสดใสด้วยสไตล์ไทยๆ
และที่สำคัญ ขณะนี้ธุรกิจของเรานั้นกำลังเป็นที่กล่าวขวัญฮือฮาคนแน่นเต็มร้านทุกคืน
ในละแวกนั้น..ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยร้านรวงไม่ค่อยจะมี
กลางคืนนั้นเงียบเชียบราวป่าช้า
และตั้งแต่มีร้านเรามาเปิดอยู่ผู้คนเริ่มออกมาเดินเล่น ไป-มา
จนหัวมุมถนนใกล้ๆ มีคนหัวใสมาเปิดร้านกาแฟเล็กๆ สไตล์ฝรั่งเศส ลูกค้าที่ออกไปจากร้านเรา
บางคนก็จะอ้อยอิ่งจิบกาแฟที่ร้านนั้นต่อ...นั่นแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจเริ่มหลั่งไหลมาสู่เส้นทางสายนี้แล้ว

มิสซิสปาร์คก็คงมองเห็นเช่นกัน...จึงรีบคายพิษออกมาเสียแต่บัดนี้...สาเหตุ คือมาจากความมักได้ สถานเดียว
แกให้เราออกไปเพื่อหาคนเช่าใหม่
ในราคาที่มากกว่าอาจเป็นเท่าตัว!!
และเนื่องจากสภาพของร้านพร้อมเข้าประกอบการได้ทันทีแกสามารถเรียกค่ามัดจำได้แพงๆ
                 
ฉันและตุ่ม ไม่ได้ตีโพยตีพายอะไรมากนัก
อย่างน้อยเราก็ได้เงินคืนมาพร้อมกำไรไม่ใช่น้อยแล้วและเราก็คิดคล้ายๆ กันว่า...ดีเหมือนกัน จะได้กลับไปเรียนหนังสือหนังหากันซะที!!

แต่ศรี ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ กระซิกๆ
ด้วยเสียดายร้านที่เป็นความฝันของมัน
อีกทั้งด้วยความเจ็บใจที่เสียรู้ ยายแก่สารพัดพิษ
อย่างมิสซิสปาร์ค
สักเพียงแค่ชั่วอึดใจจึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยน้ำตาและความโกรธแค้น
มันว่า...
“ยังไง ยังไง เราก็ไม่ยอม พวกแกจำได้ไหมว่า
ยายแก่นั่นพูดกับเราไว้ว่าอย่างไร??”
“จำด๊าย เต็มสองรูหูเลยละ ก็เพิ่งไม่นานนี้เอง”
ฉันและตุ่มขานรับในอารมณ์ขัดเคืองประมาณกัน
“มันบอกว่า...พวกยูนี่น่ารักจัง ทำร้านเสียน่าเอ็นดู
ช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง ฉันเห็นแล้วดีใจหวังว่าพวกยูคงจะประสบความสำเร็จ ฉันเอาใจช่วยเต็มที่ มีอะไรขาดเหลือก็บอกได้นะ...”
น่านไง เห็นม๊ะ... มันพูดมาต่อหน้าพวกเราทุกคนหยั่งงี้
แล้วจะมาไล่กันง่ายๆ ได้อย่างไร เราต้องพึ่งทนายแล้วละ
ฉันไม่ยอมมันหรอกนะ!!” ศรีกราดเกรี้ยว

ศรีเปิดสมุดหน้าเหลือง หาเบอร์ทนายความที่อยู่ใกล้เราที่สุดในทันทีและทันใดที่ได้ติดต่อทนายความ
ในการสนทนาชั้นแรก เขาจะบอกก่อนว่าเขาคิดราคาเท่านั้นเท่านี้ต่อชั่วโมง
ครึ่งชั่วโมงนับเป็นหนึ่งชั่วโมงซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยทีเดียว
แถมยังแนะนำด้วยว่า ถ้าจะให้ดี พวกเราควรเตรียมเอกสารและข้อความที่จะถามมาให้พร้อม จะได้ไม่เสียเวลามาก

พวกเราตกลงตามข้อเรียกร้องทุกประการและขอนัดพบในบ่ายนั้น ทันที

โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:09
หลังจากที่ทนายความได้ดูสัญญาเช่าอีกทั้งจดหมายที่ได้รับหมาดๆ แล้วไอ้ศรีก็ให้การเป็นต่อยหอย ว่า...
“พวกฉันเพิ่งจะขยายครัวใหม่ ลงทุนไปก็หลาย กิจการก็กำลังดำเนินไปด้วยดี   นี่เจ้าของกะหวังจะฮุบกิจการเราอย่างหน้าด้านๆ นี่นา
ถือว่าเป็นการหักหลังมั๊ยเนี่ยย หยั่งงี้น่ะ!!!”

ทนายความนั่งมองพวกเราด้วยแววตาประหลาดมันดูสมเพชระคนสงสารอย่างไรไม่รู้ ก่อนที่จะกระดกตัวจากเก้าอี้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า...
“ในสัญญานี่นะ...ไม่ได้กล่าวไว้ว่าเจ้าของต้องมารับผิดชอบในการต่อเติมอาคารของพวกยู มิหนำซ้ำการต่อเติมใดๆ ที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตนั้น  เขามีสิทธิที่จะฟ้องร้องได้   และเขามีสิทธิเต็มที่ตามที่แจ้งมาในเรื่องการยกเลิกสัญญาเช่าในกำหนดที่ให้ไว้กับพวกยูคือ  60 วันจากวันที่ได้รับจดหมาย”

ไอ้ศรีและพวกเราทั้งหมด หน้าซีดเผือด  ใจหายไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม...แต่ก็ยังอุตส่าห์เถียงด้วยเสียงแหบแห้งว่า...
“เก๊าะ  ยัยมิสซิสปาร์คก็รู้ว่าเราต่อครัวออกไปแกยังมายืนดูเลยแถมชมด้วยว่าไอเดียดี...และยังบอกพวกเรา...ว่าาาา...”

ไม่ทันที่จะสิ้นประโยค ทนายความรีบโบกมือ พร้อมกับบอกว่า...
“คำพูดตกลงใดๆ นั้นมันใช้ไม่ได้ในศาล  ทุกครั้งที่ยูจะทำอะไรที่เกี่ยวกับตึกที่เช่าจะต้องเขียนเป็นจดหมายหรือโน้ตให้เขาเซ็นรับทราบ...จึงจะใช้ได้...ถ้าจะให้ฉันแนะนำนะพวกยูไปหาร้านใหม่ทำ  ย้ายออกไปซะ เพราะในสัญญานี้ยูเสียเปรียบทุกประตู...”

นั่นคือคำตอบสุดท้าย...ที่ทำให้พวกเราและไอ้ศรีแม่หัวเรือใหญ่นิ่งเงียบพากันเดินขรึมออกมาจากสำนักงานทนายความนั้น อย่างอาการที่ผิดกันกับตอนขามา ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

คืนนั้นทั้งคืน พวกเราไม่เป็นอันทำการทำงาน โทร.คุยและเล่าให้ใครต่อใครฟังไปทั่ว
พอมีสติก็พยายามอ่านทำความเข้าใจในถ้อยกระทงความของสัญญานั้นอย่างละเอียดจริงอย่างที่ทนายความนั่นว่าไว้ทุกประการ...

ไม่มีทางเลย ที่เราหาญลุกขึ้นต่อสู้ได้
เพราะในอเมริกานั้นเชื่อถือในกระดาษที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ไม่สำคัญว่า คำพูดนั้น จะเป็นอย่างไร
ถึงแม้ว่ามีพยานหลายคนก็ไม่ก่อผล แต่ประการใด...ในชั้นโรงชั้นศาล!!!

นี่เป็นบทเรียน บทต่อมา ของพวกเรากระมัง ว่าด้วยเรื่อง จิตมนุษย์ นั้นไซร้ ยากแท้หยั่งถึง!!

แก๊งค์เหลือขอ รับทราบข้อความทั้งหมดในวันต่อมา..
ออกจะเห็นอกเห็นใจสงสารพวกเราโดยเฉพาะ ไอ้ศรี   และไม่รังเกียจรังงอน ที่จะมาช่วยกันยักย้ายขนของที่ออกจะมากมายก่ายกอง..

ทั้งๆที่ฉันและตุ่มต้องการตัดปัญหาด้วยการโละทิ้ง  
แต่ศรี ขอเก็บไว้ทั้งหมด   โดยไปเช่าตู้เก็บของที่คิดเป็นรายเดือน  อารมณ์ของศรีในยามนั้นคงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น มันว่า..มันจะต้องเปิดร้านใหม่..ให้ได้ในเร็ววัน..  
ทั้งฉันและตุ่ม  เห็นพ้องต้องกันว่าศรีมันคงจะเสียดายร้าน จนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว...!!!

หลังจากนั้นต่อมา...ฉันก็ออกหางานทำในยามเย็นเพื่อที่จะมาใช้หนี้บัตรเครดิตต่างที่ก่อไว้
ตุ่ม..กลับไปเรียนหนังสือ เพราะจะต้องย้ายรัฐตามแฟนหนุ่ม..
ศรีมาหาฉันในวันหนึ่งด้วยมาดที่มุ่งมั่น...
มาเล่าว่า..มันไปซื้อรถแคนทีน(รถที่สามารถประกอบ
อาหารและขับเคลื่อนไปขายได้ในตามจุดต่างๆ)เก่าๆมาคันหนึ่ง..กะว่า..จะขายฮ๊อทด็อก  
แฮมเบอร์เกอร์  เบอริโตส์(อาหารเม๊กซิกัน)  เครื่องดื่มพร้อมน้ำชากาแฟ
โดยขับไปจอดตามบริเวณที่เป็นเขตที่มีโรงงานใหญ่ๆ  คนงานเป็นร้อยๆ  
มันว่า  มันจะขายข้าวผัด  เฉาหมิ่น  อะไรต่อมิอะไรพ่วงไปด้วย  และถามฉันว่า จะหุ้นด้วยไหม?
คราวนี้ฉันปฏิเสธ อย่างไม่ต้องคิดสักนิดเดียว  เพราะ..บอกตรงๆว่า  
ฉันเข็ดเขี้ยวกับธุรกิจ“”ที่ไม่มีความชำนาญนี่ เต็มประดา !!!

ศรีไม่เซ้าซี้ ฉันแม้แต่นิด มันว่ามันเข้าใจในความรู้สึกฉันเป็นอย่างดี..แต่มันทิ้งท้ายไว้ว่า..
ฉันน่ะ..ไม่มีวันเข้าใจมัน..เพราะ ในชีวิตฉันนั้น..ไม่เคยต้องขวนขวายอะไรเพื่อให้ได้มา

ฉันไม่ได้บอกกับศรีหรอกนะว่า..เหตุผลอื่นน่ะ..มี...คือว่า..
ฉันมองไม่เห็นตัวเอง...ที่จะต้องไปตากหน้าอยู่บนรถทำอาหารอันอุดอู้  ขายอาหารสำเร็จรูปทีละเหรียญสองเหรียญ  ตั้งแต่เช้ายันค่ำ  
และที่สำคัญมากกว่านั้น คือ
ฉันจะไปบอกใครต่อใครเขาได้ว่า..ต้องเร่ขายอาหารให้กับพวกคนงานชาวเม๊กซิกัน...
แค่คิด..ก็ อดสูใจจะแย่อยู่แล้ว...ธุรกิจประเภทนี้ ก็จัดเข้าระดับ หาบเร่ ดีดีนี่เอง
ถ้าศรี มันทำได้ก้อเรื่องของมัน..หากแต่..ฉันนั้น..เห็นจะไม่รับทาน
และคิดเลยเถิดไปอีกว่า...ชาตินี้เห็นจะไม่มีวัน..!!!

จากนั้นมา...ฉันและศรีแทบจะไม่เคยเจอะเจอกัน เพราะฉันย้ายโรงเรียนพร้อมที่อยู่ออกไปทางฝั่ง
เหนือของเมืองซาน ฟรานซิสโก  ใช้ชีวิตโลดแล่นไปอย่างไม่มีแก่นสารอะไร หรือจะเรียกให้ถูกว่า
รับจ้างเรียนหนังสือ ก็ไม่ผิดนัก  

ศรีเองก็ย้ายทำเลที่อยู่อาศัย  ได้ข่าวว่าหมกมุ่นอยู่กับธุรกิจขายอาหารบนรถ ตั้งแต่เช้าตรู่ยันดึกยันดื่น และแทบจะทุกวัน  จนขาดการติดต่อไปโดยปริยาย..
เรื่องขยันและสู้งานนี้ ไม่มีใครเกินหน้า นังศรีคนนี้
ฉันรับรองได้..และรู้แน่แก่ใจว่า..มันกำลังสานฝันให้เป็นจริง..ตามที่มันว่าไว้ทุกประการ..

หลายปีผ่านไป...ทราบว่า..ศรีได้พบรักและแต่งงานกับชายเชื้อชาติเม๊กซิกัน และพากันย้ายออกไปทำมาหากินในรัฐเท๊กซัส  ถิ่นฐานดั้งเดิมของของสามี..
จากนั้น...ฉันก็ไม่ได้ข่าวคราว เพื่อนศรี อีกเลย....
จนกระทั่ง..ไม่กี่ปีมานี้..ฉันมีธุระจะต้องไปที่เท๊กซัส..ก่อนไป ได้เจอกับพี่สาวศรีโดยบังเอิญ..
เธอจึงรีบติดต่อศรี ให้ฉันทันที..

ศรี..โทรมาหาฉันด้วยน้ำเสียงระคนตื่นเต้นดีใจ ที่เราจะได้พบกับ  ออกคำสั่งให้ฉันห้ามไปพักที่ไหน
นอกจากที่บ้านของมันเท่านั้น..อยากให้ลูกๆสองคนและสามีได้รู้จักกับเกลอเก่าอย่างฉัน
ฉันเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน...นับเป็นสิบๆปีแล้วซินะ..ที่เราขาดการติดต่อขาดหายเสียจนไม่คิดว่าจะได้
พบปะเจอะเจอกันอีกในชาตินี้..
โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:10
ทันที่ที่ลงจากเครื่องบิน  เท้าแตะสนามบิน ผิวหน้าของฉันก็ได้สัมผัสกับอากาศทะเลทรายแห้งระอุ
มันช่างต่างกันลิบลับกับนครซานฟรานซิสโกที่เพิ่งจากมา..ทันทีที่ก้าวเดินล่วงพ้นประตูทางเข้า

เสียงเรียกชื่อฉันลอยขึ้นมา...หันไป..ศรีนั่นเอง...อ้วนท้วนมีน้ำมีนวล  แต่ท่าทางกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม  เ
รากอดกันกลม..แย่งกันพูด  แย่งกันทักทาย  ไม่มีใครฟังใครเหมือนเดิม
ศรีเดินนำฉันไปที่จอดรถ..
ที่นั่น ฉันเห็น รถยี่ห้อจากัวร์รุ่นใหม่เอี่ยมสีแชมเปญ จอดรออยู่
ศรีรีบกุลีกุจอเอากระเป๋าเดินทางฉันใส่หลังรถ..เปิดประตูให้ฉันเข้าไปนั่งสตาร์ทเครื่องแล่นฉิว ลอยไปยังกับปุยนุ่น.. ยังบ้านที่จะเป็นที่พำนักของฉันในช่วงวันสองวันนี้..

และที่นั่น..ฉันก็ต้องพบกับความประหลาดใจอีกเป็นซ้ำสอง..เพราะบ้านที่มันว่านั้น
มันใหญ่โตมโหฬาร ราวกับปราสาทราชวัง  ตั้งเด่นเป็นสง่าในเนื้อที่หลายสิบเอเคอร์
จากทางลาดเข้าไปยังถึงตัวตึกเป็นระยะหลายร้อยเมตร  เป็นทางที่ปูด้วยอิฐแดงอย่างดี
ประดับสองข้างทางด้วยต้นปาล์ทะเลทราย  เป็นระยะระยะ..ตัวตึกที่อยู่อาศัย ปลูกสร้างในสไตล์สแปนิช...หลังคาเป็นกระเบื้องลอนดินเผาอย่างดีเรียงสลับซับซ้อน
พื้นเป็นหินอ่อนสีใส  กลางบ้าน..จัดเป็นสวนปาล์มมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่เป็นรูปรี

ภายในบ้าน เปิดแอร์ตลอดทุกที่..เย็นฉ่ำ..และในทุกมุมถูกจัดวางด้วยเฟอร์นิเจอร์มีราคา
อีกทั้งความร่มรื่นทั้งในและนอกบ้านด้วยต้นไม้นานาพันธ์

นับว่า...เป็นบ้านหลังหนึ่งที่โอ่อ่า และสวยที่สุดเท่าที่ฉันได้เคยเห็นมา..โดยมีเจ้าของเป็นคนไทย
ทันทีที่นั่งลงคุยกันได้..ฉันไม่รอให้ความสงสัยครอบคลุมอยู่นาน...จึงถามถึงที่มาที่ไปทันที

ศรีเล่าว่า..มันใช้รถแคนทีนคันนั้น..ขายอาหารตามโรงงานที่นั่นที่นี่..ตั้งแต่เช้าตรู่ยันมืดค่ำทุกวัน..
และทันทีที่มันเก็บเงินได้มากพอ ก็ซื้อรถเพิ่มมาใหม่อีกคันนึง..จ้างคนเอาอาหารไปขายที่จุดอื่นๆ  ทำอย่างนั้นหลายครั้งเข้า..ศรีมีรถแคนทีนในครอบครองถึงแปดคันภายในระยะสามปี..
ตอนนั้น..ศรีให้คนทำการเช่ารถไปประกอบกิจการโดยตัวเองทำหน้าที่ดูแลเก็บเงินค่าเช่าอย่างเดียว..
"อ้าว..แกเลิกขายทำไมล่ะ  ดูท่าจะขายดิบขายดีนี่..  ฉันถามเพราะอดสงสัยไม่ได้"
ศรีบอกว่า...ไม่ได้ให้เช่ารถอย่างเดียว...อาหารที่นำออกไปขายเป็นของศรีทั้งหมด..
จัดใส่รถให้เต็ม..จ้างคนให้ขับเอาไปขายอย่างเดียว  ตัวมันคอยขับรถอีกคันหนึ่งคอยส่งของให้เพิ่มเติมในกรณีขาดเหลือ  และคอยแวะเวียนตรวจตราดูตามจุดที่ขาย..จุดนั้นจุดนี้
ปัญหาการขายนั้นไม่มี..แต่ปัญหาเรื่องการดูแลรถนั้น..
เป็นสิ่งที่ศรีเอง ไม่มีปัญญาที่จะทำเองได้
เพราะเวลารถเสียทีนึง นั่นหมายความว่ารายได้ต่อวันขาดหายไปไม่ใช่น้อย..
จากการวิ่งเข้าวิ่งออกอู่โน้นอู่นี้ นั้น  พรหมลิขิตพาให้ ศรีได้พบกับสามี ฮวน ซึ่งเป็นช่างซ่อมรถที่ใช้งานอยู่เป็นประจำ จนผูกจิตสมัครรักใคร่และแต่งงานกันในต่อมา
ทั้งสองช่วยกันทำมาหากินกับกิจการรถแคนทีน
(ที่ฉันเคยดูถูกว่า ขายทีละเหรียญสองเหรียญ)
จนเจริญเติบโตมีรถเป็นของตัวเองนับเป็นร้อยๆคัน..
ในบัดนี้  กิจการได้ขยายสาขาไปทั่วในหลายๆรัฐ

ปัจจุบัน..ทั้งคู่มีกิจการเป็นของตัวเองมากมายโดยที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆจุดนี้นี่แหละ  
ศรีบอกมาเหมือนกันว่า...มีกิจการที่ไหนและอะไรบ้าง  
ฉันเองยังจำแทบไม่หวาดไม่ไหว..
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า...
"ถามจริงจริ๊งเหอะ....แกว่า แกร่ำรวยมาจากการขาย  ฮ๊อตด็อก เบอริโตส์อันละเหรียญสองเหรียญเนี่ยนะ ???"
ศรีตอบว่า..
"ใหม่ๆฉันก็เหนื่อยมากนะ  เพราะต้องขับรถเอง  ขายเอง  สต๊อคของเอง แต่แกไม่รู้อะไร...มันขายดีเสียจนกระทั่ง..ไม่มีเวลานับเงินแน่ะ..รับเงินมาทีละเหรียญสองเหรียญอย่างที่แกว่านี่แหละ..เก็บใส่ลิ้นชักไม่ทัน..ต้องโยนใส่ถุงขยะพลาสติกแล้วเอาหนังสะติ๊กมัดปากถุง อุ้มไปเข้าแบ๊งค์ทั้งอย่างนั้นเลย..ในวันเดียวนี่แหละ..ถุงแล้วถุงเล่า เลยเชียว  !!!!

มิหนำซ้ำ  ศรียังคุยเรื่อยเจื้อยต่อไป..เพราะ ความเพลินในอารมณ์..ว่า...
ถ้าวันนั้นนะแกแค่เอาเงินมาหุ้นกับฉันแค่พันเดียว..ป่านนี้เราได้คุมกิจการนี้ไปทั่วทุกรัฐในอเมริกาแล้ว..!!!

ฉันได้แต่นั่งอึ้ง...มองย้อนดูตัวเอง..และเห็นอย่างเด่นชัดถึง คำว่า ศักดิ์ศรี  ที่เคยยึดติดมาตลอด
จนวางรากฐานชีวิตไว้กับคำคำนี้นั้น..มันช่างเป็นอะไรที่ลมๆแล้งๆและเหลวไหลสิ้นดี..
ใครนะที่ว่า....อย่าหมิ่นเงินน้อย  อย่าคอยวาสนา...
คนที่จะซึ้งต่อประโยคนี้ คงไม่มีใครเกินไปกว่าฉันแน่นอน..แม้กระทั่งจนบัดเดี๋ยวนี้ !!!


โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-10-28 03:11
จบแล้วนะครับ ใครอ่านจบมั่งนี่ 5555+
โดย: LinZ    เวลา: 2012-11-3 11:26
อ่าน จบ><
โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-11-30 07:05
LinZ ตอบกลับเมื่อ 2012-11-3 11:26
อ่าน จบ>

มีแต่แอดมินอ่านกันเอง -*-

ทีหลังไม่เอามาลงแล้ว งอล
โดย: mew    เวลา: 2012-12-22 01:30
อ่านจบค่ะ และชอบมาก มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย
ขอบคุณค่ะ
โดย: Livekernelevent    เวลา: 2012-12-22 02:50
mew ตอบกลับเมื่อ 2012-12-22 01:30
อ่านจบค่ะ และชอบมาก มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย
ขอบคุณค่ะ ...

มีคนอ่านจบด้วย T^T
โดย: TOn55555    เวลา: 2012-12-24 12:31
เยอะมาก แต่สนุกดี
โดย: Muaoon    เวลา: 2013-1-18 16:40
อ่านจบ! เย้ๆๆ สนุกดี ได้รู้อะไรหลายๆ อย่าง
โดย: mekaza    เวลา: 2014-6-6 09:42
ตั้งใจจะทำแบบศรีอยู่แล้วอิอิ ได้ความรู้ดีครับ
โดย: daiierr    เวลา: 2014-8-16 08:27
อยากเห็นร้านอาหารที่ถูกยึดจังครับ แค้นแทนเลย




ยินดีต้อนรับสู่ KhonThai America : คนไทยในอเมริกา (http://khonthaiamerica.com/) Powered by Discuz! X2.5