- ลงทะเบียน
- 2012-10-10
- ล่าสุด
- 2024-11-28
- สิทธิ์อ่าน
- 200
- เครดิต
- 2737
- สำคัญ
- 0
- โพสต์
- 229
|
11.สัมภาษณ์งานโดยนายจ้าง vs ตัวแทนองค์กร ?
อันนี้เป็นหัวข้อที่แตกมาจากบล็อกที่ให้ไว้ในข้อ 10 แต่สำคัญไม่แพ้กัน คนส่วนมากจะเข้าใจว่าเวลาเอเจนซี่ไทยจัด Job Fair คนที่มาสัมภาษณ์คือนายจ้าง
แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะ Job Fair บางอัน นายจ้างบินมาเองเลยโดยตรง แต่บางงานจะเป็นตัวแทนจากเอเจนซี่อเมริกา ซึ่งนายจ้างไว้วางใจให้สัมภาษณ์ให้แทน แล้วระหว่างนายจ้างกับตัวแทนองค์กร ต่างกันตรงไหน ? นายจ้าง : หากว่าได้เจอกับนายจ้างเองเลย แบบนี้สบายใจได้ค่ะ เพราะเขารู้จักเราแล้ว ได้ทดสอบภาษา ได้สัมภาษณ์เราได้ตัวเอง ดังนั้นแล้วเค้าก็จะรับได้ในสิ่งที่เราเป็น ได้เห็นว่าเราพูดภาษาได้ระดับนี้นะ ถ้าเค้ารับคุณเข้าทำงาน ก็แปลว่าภาษาจะไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเค้าอีกต่อไป ตัวแทนเอเจนซี่ที่อเมริกา : แบบนี้ถามว่าวางใจได้ไหม ? จริงๆก็ยังไม่น่าวางใจเท่าไรนะ บางคนเค้าก็จะปล่อยผ่านแบบง่ายๆ ซึ่งปัญหาการลอยแพมันมาจากตรงนี้ส่วนหนึ่ง คือนายจ้างตั้งความหวังไว้ว่า เด็กที่มาจะต้องพูดได้ อ่านได้คล่อง แต่พอตัวแทนองค์กรสัมภาษณ์โดยที่นายจ้างไม่ได้มารับรู้ด้วยตัวเอง ดังนั้นความคลาดเคลื่อนมันสูง คือนายจ้างต้องการ Advance ชนิด ที่ว่า ถามปุ๊ป ตอบได้ปั๊ป พูํดไฟแลบ สำเนียงเพอเฟค อ้วกออกมาต้องเป็น ABCD แต่ Advance ของตัวแทนองค์กรนี้คือ แค่โต้ตอบได้เป็นพอ สำเนียงก็บ้านๆก็โอเค แบบนี้ไงพอเราไปถึงอเมริกา นายจ้างก็จะเกิดการผิดหวัง ว่าคุณสมบัติไม่ตรง ก็เลยเกิดการเปลี่ยนตำแหน่งหรือบางรายร้ายขนาดไม่รับเข้าทำงาน
12.เอเจนซี่ไหนดี ?
เอเจนซี่ไหนก็มีขอบข่ายความรับผิดชอบที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน แต่ก็จะมีรายละเอียดยิบย่อยแตกต่างกัน เช่น เอเจนซี่ A : บอกว่ามีพี่ๆเดินทางไปด้วย แบบนี้เค้าหมายความว่าจะต้องเดินทางเป็นกลุ่ม ก็คือต้องจองสายการบินเดียวกัน วันและเวลาเดียวกัน ซึ่งบางคนยังสอบไม่เสร็จหรือบางคนอยากไปก่อน ดังนั้นก็พิจารณาเอาเองนะจ๊ะ ว่านั่งเครื่องบินไปคนเดียวได้หรือเปล่า ซึ่งเราคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเลย เอเจนซี่ B : มีเจ้าหน้าที่ไปรับที่สนามบิน อันนี้ตีได้หลายความหมาย คำว่ารับ ความหมายแรกหมายถึง มาแค่เจอหน้า say hello แล้วปล่อยให้เดินทางต่อคนเดียว หรืออาจจะใจดีเรียก Taxi ให้ หรือดีมากๆก็คือรับไปส่งถึงที่ทำงาน ซึ่งถ้าไม่ได้ทำงานในเมืองใหญ่จริงๆ แบบนี้ยากกก เอเจนซี่ C : บริการทำ Tax refund หลังจบโครงการฟรี ความหมายคือ เราไม่ต้องควักกระเป๋าเสียเงินทำ Tax refund เพิ่ม แต่ว่าเงินนั้น เค้าจะหักจากเช็คที่ได้ ราคาก็จะอยู่ที่ $40-90 เหรียญ แล้วแต่เอเจนซี่ ซึ่งเอเจนพวกนี้เค้าจะส่งต่อไปให้เอเจนที่เค้ารับทำเรื่อง Tax โดยเฉพาะอีกทางหนึ่ง ไม่ค่อยมีเอเจนซี่ไหนทำเองหรอก แต่จะว่าไปก็มีบางเอเจนซี่ที่เค้าทำ Tax ให้เด็กเอง และก็รับทำ Tax จากเด็กนอกเอเจนซี่ด้วย ไปสืบเอาว่าที่ไหนแต่บอกได้เลยว่าไม่แพง นอกจากนี้บริการของเอเจนซี่ต่างๆก็จะคล้ายๆกันหมด ต่างกันแค่เจ้าหน้าที่ของเอเจนซี่ไหนถูกใจเราแค่นั้นเอง ส่วนประการสำคัญอันนึง คือ ให้เลือกงาน ก่อนที่จะเลือกเอเจนซี่ ดีกว่านะ เนื่องจากว่า เอเจนซี่ที่อเมริกา มีน้อยกว่าที่ไทยเยอะ ดังนั้นแล้ว เค้าก็จะส่งงานให้เอเจนซี่ไทย ซึ่งบางครั้ง งานจากเอเจนซี่ที่อเมริกา 1 งาน ก็จะมาปรากฏอยู่ในเอเจนซี่ไทยซัก 4 เอเจนซี่ ทั้งๆที่เป็นงานเดียวกัน ดังนั้นแล้ว ถ้างานที่อยากทำ มีหลายเอเจนซี่ ก็ให้เลือกงานก่อน แล้วมาดูเอเจนซี่ทีหลัง เพราะว่าโอกาสน้อยมากที่เอเจนซี่จะโกงโดยการเชิดเงินแล้วปิดบริษัทหนี อันนี้ไม่เคยเจอนะ หรือใครเคยเจอก็เล่าสู่กันฟังบ้างนะจ๊ะ
13.ค่าโครงการเท่าไรคะ ?
ค่าโครงการก็จะแตกต่างกันไปแต่ละเอเจนซี่ค่ะ แล้วแต่เค้าจะใช้วิธีดึงดูดแบบไหน ส่วนมากจะเห็นอยู่ที่ 41,000 - 49,000 ถ้าสมัครเร็วก็ได้ราคาถูกเพราะมีโปรโมชั่น สมัครช้าราคาก็จะแพงขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งเอเจนซี่ส่วนมากเค้าจะแบ่งค่าใช้จ่ายเป็นสองส่วน ส่วนแรกเรียกว่าค่าจองงาน : ค่าจองงานก็เป็นเหมือนค่าสำรองที่นั่ง โดยที่คุณไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่างานนั้นๆ ปีนี้มันจะมาหรือเปล่า แต่บริษัทเค้าก็จะให้ความหวังโดยอาศัยหลักอ้างอิงว่า ปีที่แล้วมี ปีก่อนมี ดังนั้นแล้ว ปีนี้ก็"น่าจะ"มี หากคุณอยากได้เค้าก็จะให้คุณรีบจ่ายเงินจองเอาไว้ประมาณ 3,000 - 8,000 บาท ซึ่งถ้าหากว่างานนี้มันไม่มา คุณก็จะต้องไปเลือกงานอื่น ซึ่งเป็นปัญหาสากลโลกมากเลยอันนี้ ว่าจ่ายเงินเลือกงานไป แต่สุดท้ายงานไม่มาหรือลดโควต้าลง เอเจนซี่เค้าก็จะให้คุณเลือกงานอื่น ซึ่งทีนี้แหละคุณก็จะว้าวุ่นใจ เพราะไม่อยากทำงานอื่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะจ่ายมัดจำไปแล้ว ทีนี้มีข้อแนะนำว่าคุณก็เลือกเอา ว่าจะยอมเอางานของเอเจนซี่เก่า หรือจะยอมทิ้งมัดจำเปลี่ยนเอเจนซี่ โอเคนะ ที่เงินจำนวนนี้ที่เมืองไทยเนี่ยมันเยอะ แต่อยากให้ข้อคิดอีกแง่นึงนะ ว่าพอไปถึงโน่น คุณทำงาน 2-3 วันคุณก็หาเงินมาได้เท่าที่จ่ายไปนี้แล้ว คุณจะยอมทนกับงานที่คุณไม่อยากทำไปตลอด 3 เดือน หรือจะเสียเวลาเพิ่มอีก 2-3 วันเพื่อดูงานใหม่ที่คุณอาจจะพอใจกว่า ส่วนที่สอง : ส่วนนี้เป็นค่าโครงการจริง รวมค่าวีซ่า ค่าเข้าร่วมโครงการ อยู่ที่ประมาณ 35,000 - 45,000 บาท โดยก่อนที่คุณจะบอกว่าเอเจนไหนถูก คุณควรถามเค้าให้แน่ใจเสียก่อน ว่าค่าโครงการ รวมค่าจองงานแล้ว ทั้งหมดคุณต้องจ่ายเท่าไร ซึ่งปกติก็จะ 41,000 - 49,000 บาท บางเอเจนซี่เค้าก็จะมีทริค ก็เก็บค่ามัดจำงานเพียง 2,000 บาท แต่คุณไปดูค่าโครงการเค้าเถอะว่าเท่าไร ส่วนมากถ้ามัดจำแพง ค่าโครงการก็จะถูก ถ้ามัดจำน้อยจ่ายค่าโครงการทีหลังจะแพง
14.สมัครได้ถึงเมื่อไร ?
ปกติจะเริ่มสมัครได้ตั้งแต่เดือน มิถุนายนเป็นต้นไป เรื่อยไปจนถึงปลายเดือนมกราคม แต่ว่างานจริงๆของปีนั้นๆ มันจะเริ่มทยอยมาก็คือราวๆเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป ดังนั้นแล้ว งานที่เค้าเอามาโชว์ในช่วงแรกๆก็จะเป็นอย่างที่บอก คืองานของปีที่แล้ว งานปีก่อนหน้า โดยไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่างานนั้น ณ ปีนี้จะมาหรือเปล่าพูดอย่างนี้ตกลงควรรีบสมัครหรือไม่ควร ? อันนี้วัดใจเอาเลยจ๊ะ ถ้างานที่มันมาซัก 5 ปีติดต่อกันแล้ว แบบนี้ก็ค่อยหน้าไว้ใจหน่อย แต่ถ้างานที่แบบว่าปีที่แล้วเพิ่งเปิดปีแรก ก็ให้ไปถามฟีดแบคจากคนที่ไปมาจริงๆ ว่าโอเคไหม มีใครทะเลาะตบ ตี กับเพื่อนร่วมงานหรือเปล่า ถ้าปีที่แล้วไม่ได้ไปสร้างปัญหา ปีนี้ก็มักจะมีงาน และหากรองานมานานแล้วคุณก็ไม่ต้องเป็นกังวลค่ะ อย่าเพิ่งท้อแท้ อย่างที่บอกว่างานจะมาเรื่อยๆ ช่วงที่งานเยอะๆก็จะเป็น กลางตุลาคม - กลางธันวาคม แต่ถ้าเป็นช่วงหลังคริสมาสต์แล้วล่ะก็ ช่วงนี้รออีกยาวค่ะ เพราะบริษัทที่อเมริกา เค้าก็ทยอยปิดทำการเตรียมต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นแล้วช่วงนี้งานจะไม่มา จะหยุดชะงัก อยากให้กำลังใจคนที่รองานนานแล้วแต่ไม่มานะ ปีแรก Nakoze สมัครตั้งแต่กลางๆปี แต่มาได้งานตอนปลายเดือนมกราคมค่ะ ส่วนปีที่สอง Nakoze ก็ได้งานช่วงเดือน พฤศจิกายนค่ะ ช่วงแรกๆเราอาจจะนอยด์ไปบ้างเวลามีคนมาถามว่ายังไม่ได้งานอีกหรอ ก็อย่าไปจิตตกมาก ถือคติหัวเราะทีหลังดังกว่า ฮ่าๆ
15.Start date - End date ?
วันเริ่มงานแต่ละสถานที่ทำงานก็จะแตกต่างกันออกไปค่ะ Start date : ปกติก็จะกำหนดระยะเวลา Start date 1-30 March ซึ่งหมายความว่า คุณควรจะเริ่มงานได้ภายในช่วงนี้ ถ้าเริ่มงานได้หลังจากนี้ก็ไม่ควรไปเลือก ก็ให้เลือกงานอื่นที่เค้ามี Start date ช่วง 15 April แทนก็แล้วกันค่ะ เพราะจะได้จับคนให้ถูกกับงาน ดีกว่าคุณไปกันที่เค้านะ End date : ก็จะอยู่ที่ประมาณ 1 June - 30 June ซึ่งอันนี้แล้วแต่งานมากๆ บางงานเค้ากำหนดไว้แค่ 15 May ก็มีแบบนี้ถ้าโดนเลิกงานไว คุณก็แย่หน่อยเพราะไม่มีงานทำแล้ว ก็ไม่เป็นไร ไปเที่ยว ไปสนุกกับช่วงเวลาที่เหลือแทน ถ้าหากมีปัญหาเรื่อง End date เช่นขอเลิกงานก่อน แต่ก่อนไม่เกิน 1 อาทิตย์ แบบนี้อยู่ในขั้นโอเคค่ะ แต่บางคนพอไปถึงแล้วทำไม่ไหว ขอเลิกงานก่อนซักเดือนนึง แบบนี้คุณอยู่ในขั้นเลวร้ายมาก เพราะ คุณกำลังทำให้นายจ้างไม่พอใจ แล้วเมื่อเขาไม่พอใจ ปีต่อไปเขาก็ไม่อยากรับเด็กไทย น้องๆรุ่นต่อไปก็มีตัวเลือกน้อยลง แบบนี้เรียกว่ารุ่นพี่ไปทำชื่อเสียเอาไว้ อันนี้เราไม่ได้พูดถึงกรณีคนที่มีธุระจำเป็นจริงๆนะ จำเป็นหรือไม่จำเป็นอันนี้คุณก็รู้อยู่แก่ใจ โกหกใครได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้หรอกนะ
16.ขอเพิ่ม - ลดชั่วโมงทำงานได้ไหมคะ ?
ขอเพิ่มชั่วโมง : ถ้าที่ร้านวันนึงๆ ได้แต่นั่งตบยุงกับเพื่อนข้างๆ 2 คน ลูกค้าเข้าร้าน ชั่วโมงละ 2 คน แบบนี้แค่เค้าไม่ไล่ออกก็ควรจะดีใจแล้วค่ะ แต่ถ้าคุณเห็นว่าร้านคุณ busy ตลอดเวลา อย่างนี้การขอเพิ่มชั่วโมงทำงานมีโอกาสได้สูง ให้คุณลองไปคุยกับ manager โดยตรงเอาเอง ขอลดชั่วโมง : เป็นสิ่งต้องห้ามเลยค่ะ เพราะคุณกำลังทำให้นายจ้างไม่พอใจ หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจนึงอยู่ คุณสัมภาษณ์ รับพนักงานคนนึงเข้ามา สิ่งที่คุณคาดหวังก็คือ พนักงานคนนี้จะทำงานให้คุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เวลาจะทำอะไรก็แล้วแต่ให้คิดไว้เสมอว่าตอนสัมภาษณ์งาน คุณอยากได้งาน คุณพูดเอาไว้อย่างไรบ้าง พอได้งานสมใจแล้วก็ช่วยทำตามปากว่าด้วย แล้วหากว่าคุณไปขอลดชั่วโมงเค้า เหตุผลคืออะไร ? แน่นอนที่นั่นไม่ใช่ประเทศไทย ที่คุณจะไปอ้างเค้าว่า เลี้ยงลูก สามีโทรตาม แม่ยายเข้าโรงพยาบาล บลาๆ เหตุผลเดียวที่คุณไปขอลดชั่วโมงทำงานนั่นคือ คุณไม่อยากทำ คุณทำไม่ไหว คุณไม่สู้ แล้วคุณคิดหรอว่าเหตุผลตื้นๆแค่นี้ นายจ้างเค้าจะไม่รู้ พอคุณไปขอลดชั่วโมง เค้าก็ไม่พอใจ เค้าอาจจะแจ้งองค์กร terminate visa คุณ กรณีที่พูดนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดนะ มันเคยเกิดขึ้นค่ะ สุดท้ายคนๆนั้นก็ถูกไล่ออก แค่นั้นอาจจะฟังดูไม่เลวร้าย แต่มันเดือดร้อนมาถึงรุ่นน้องนี่แหละ อดได้งานดีๆทำเลย เพราะต้องเป็นแพะรับบาปแทนไอ้พวกรุ่นพี่ที่ก่อเรื่อง
17.ทำงานอะไร ที่ไหนดี ถึงจะได้ 2nd job ?
ไม่มีใครตอบได้ว่างานอะไร ที่ไหนดี ถึงจะได้ second job อาจจะมีคนมาบอกคุณว่า เนี่ยๆ ปีที่พี่ A ไปนะ พี่ A ได้เงินกลับมาตั้ง 2 แสนแน่ะ แต่คุณขา คุณอย่าลืมว่าไอ้พี่ A ของคุณ มันไปมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ดังนั้นสภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนไป มันอาจจะไม่มีแล้ว หรืออาจจะมีเยอะกว่าเดิมก็สุดทราบได้ ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจอเมริกาไม่ดีนัก คนตกงานเป็นเบือ ภาวนาให้งานหลักเค้าไม่ลอยแพคุณน่าจะดีกว่านะ เรื่อง second job หวังจะหาได้ แต่ว่าอย่าถึงขั้นกระ:-)กระสน เช่น ไปโกหกนายจ้าง หรือโกหกคนอื่นเพื่อหางาน ยิ่งร้านไทยที่หลายๆคนตั้งความหวังเอาไว้ คุณต้องทำความเข้าใจนิดนึง ว่าคนไทยเนี่ยอยู่อเมริกาเยอะมากกกกกกก ดังนั้นแล้วร้านอาหารไทยทั้งหลาย เค้ามีตัวเลือกอีกเป็นร้อยคนค่ะ เค้าไม่ค่อยอยากจะจ้างเด็ก Work and Travel หรอก เพราะว่า คุณอยู่ได้แค่ 3 เดือน แล้วร้านอาหารไทยที่คุณจะไปทำ หากว่าคุณเป็นผู้หญิงก็อาจจะได้ทำเสิร์ฟหรือเป็นมือแอป ก็คือทำในครัว ตรงนี้กว่าเค้าจะเทรนคุณ ให้คุณทำงานได้ เสียเวลาไปหลายอาทิตย์เลยค่ะ พอเริ่มทำงานจนคุณเริ่มคล่องงานแล้ว คุณก็จำต้องจากลากลับประเทศเพราะหมดสัญญาซะอย่างนั้น แบบนี้เค้าก็เทรนไปเสียแรงเปล่า อย่างที่สองคือการไป Work สถานะคุณคือลูกจ้างของงานหลัก ดังนั้นแล้วคุณต้องทำงานหลักอย่างเต็มตัวเป็น full time ซึ่งหมายความว่าคุณจะเหลือเวลาไปทำร้านไทยอีกประมาณ 2-3 วันต่ออาทิตย์ซึ่งหลายๆที่เค้าไม่รับ เค้าเองก็ต้องการ full time เหมือนกัน หลายๆคนหัวใส งั้นไปขอลดงานหลัก มาทำร้านอาหารไทยแทนแล้วกัน จะได้จับปลา 2 มือเลย อิ่มเร็วๆแต่ขอโทษค่ะคุณ อย่าลืมว่าหากนายจ้างงานหลักเค้าไม่พอใจ เด้งคุณออกจากร้าน โดน terminate visa แล้วแบบนี้ คุณจะหนีไปทำงานร้านไทย สถานะคุณมันก็กลายเป็นอยู่อย่างผิดกฏหมาย สุดท้ายจับปลาไม่ได้ซักมือ แล้ววีซ่า J1 สำหรับ Work and travel มันจะมีงานบางประเภทที่คุณไม่สามารถทำได้ เช่น งานเลี้ยงเด็ก
18.ไป Work and travel ได้กำไร vs ขาดทุน ?
แน๊ หูผึ่งกันเป็นแถบ ถ้าอยากได้ยินคำว่ากำไรเป็นแสน ก็คงต้องขอแสดงความเสียใจด้วยด้วยจ้าาา ปีแรก : ทำงานได้ $7.25/hr แล้ว last pay check ออกมาได้ประมาณ 2,200 กว่าเหรียญ จ่ายค่าบ้านเสร็จสรรพ ออกมา ขาดทุน 8 หมื่นบาท ปีที่สอง : ทำงานได้ $9+bonus/hr last pay check ออกมาได้ประมาณ 3,000 กว่าเหรียญ จ่ายค่าบ้านโน่นนี่นั่น ขาดทุนประมาณ 5 หมื่นบาท แต่ปีที่สองนี้เรากินดี อยู่ดี แต่ก็ไม่ค่อยได้ช็อปเหมือนเดิม
19.อะไรคือ SSN , SSC ?
SSN : Social Security Number
SSC : Social Security Card
ก็คือใน SSC จะมี SSN งงป่ะ ฮ่าๆ SSC ทุกคนที่เข้าร่วมโครงการ WAT และโครงการอื่นๆที่มีการทำงาน มีรายได้เกิดขึ้น ต้องเสียภาษีให้ประเทศอเมริกา ผู้นั้นต้องมี SSC แล้ว SSC ได้มาจากไหน ? อันนี้แล้วแต่นะ บางนายจ้างเค้าจะให้ไปทำเอง แต่ก็เป็นส่วนน้อยล่ะ ส่วนมากเค้าจะพาไปทำ ซึ่งพอไปถึงแล้ว ไม่ต้องรีบแจ้นไปทำนะรอซัก 1 อาทิตย์ก่อน ให้ทาง immigration เค้าส่งฐานข้อมูลอะไรเข้าระบบ แล้วจากนั้นคุณก็ค่อยไปทำ ระยะเวลาในการทำ SSC หลังจากกรอกเอกสารและยื่นแล้ คุณก็จะใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ - 1 เดือน ในการรอรับบัตร ทุกคนจะได้รับ SSC ใช่ไหม ? ทุกคนต้องได้รับ แต่ก็มีคราวซวยบางคน อย่างเช่นตอนที่เราไปทำ SSC ปรากฏว่าเราลืมเอกสารไว้ที่บ้าน ไม่ได้เอาไปทำ ทำให้เราไปทำ SSC ล่าช้ากว่าเพื่อนๆไปประมาณ 3 วัน แต่เรากลับเป็นคนแรก ที่ได้รับ SSC เนื่องจากเพื่อนๆคนอื่น ทาง office แจ้งว่าเกิดปัญหาในการทำ คือเหมือนเค้ายังไม่ได้รับข้อมูลจาก immigration ก็เลยดำเนินการไม่ได้ คุณคิดว่านานเท่าไรกว่าเพื่อนเราที่เหลือจะได้รับ SSC ? โอเค อย่าเดาเลยท่าจะเดายาก ตอบเลยแล้วกัน จนปัจจุบันนี้ เวลาผ่านไป 2 ปีแล้ว เพื่อนเราก็ยังไม่ได้รับ SSC เลยค่ะ
20.ทำงานแล้วจะได้รับเงินยังไง ?
หลังจากที่คุณไปทำ SSC แล้ว ก็ต้องรอเวลาจนกว่าจะได้ SSC มาครอบครอง ทางนายจ้างจึงจะออก pay check [cheque] ให้ได้ pay check ตัวนี้ภาษาไทยก็คือเช็คนี่แหละค่ะ การทำงานที่โน่น นายจ้างไม่มีจ่ายเงินสด [pay on hand] นะ เพราะถือว่าไม่มีหลักฐาน ที่โน่นทำอะไรต้องมีหลักฐาน มีใบเสร็จทุกครั้งค่ะ ดังนั้นแล้วคุณต้องเผื่อเอาเงินไปให้พอ สำหรับช่วงที่ยังไม่ได้รับเงินจากทางนายจ้าง ส่วนมากก็จะเผื่อเงินไว้ให้พอ 2 สัปดาห์แรก พอนายจ้างจ่ายเงิน อันนี้แล้วแต่สถานที่ทำงานนะ บางที่จ่ายเป็น pay check วิธีใช้ก็คือให้คุณเอาไปขึ้นที่ธนาคาร พกพาสปอร์ตไปด้วย จากนั้นเจ้าหน้าที่เค้าก็จะถามว่าเอาแบงค์อะไรบ้าง ก็ตอบไปเลยว่าขอรวมๆกัน ตอนขึ้นเช็คนี้ก็ให้ดูว่าเช็คที่นายจ้างออก มันโคกับธนาคารอะไรที่ไม่เสียค่าธรรมเนียม หากไม่แน่ใจก็ถามนายจ้างเอาค่ะ หากนายจ้างไม่ได้จ่ายคุณด้วย pay check แล้วก็จะจ่ายคุณอีกแบบนึงก็คือ ให้เป็น บัตร Debit โดยที่ไม่ได้ขึ้นกับธนาคารไหนนะ ฝากไม่ได้ ถอนได้อย่างเดียว เพราะคนฝากคือนายจ้าง อันนี้สะดวกมากค่ะเพราะไม่ต้องเอาเงินออกมาทั้งก้อน แบบ pay check คุณจะถอนเท่าไรก็ถอนได้ตามสบาย จะถอนกี่ครั้งก็ได้ แต่!! ในความสะดวกนั้นมันมีปีศาจร้ายแฝงตัวอยู่ด้วยว่าค่าธรรมเนียมการกดบัตรนี้ครั้งละ $1-2.5 โอ้แม่เจ้า ทีนี้มันก็จะเกิดประเด็น ที่ถ้าคุณถอนครั้งละนิด ครั้งละหน่อย ค่าธรรมเนียมบานแน่ๆ อีกทั้งหากคุณไม่ถอนให้หมดที่อเมริกา คุณเอากลับมาใช้ที่ไทย คุณจะเจอวิบากกรรมร้ายแรง คือแค่เช็คเงินผ่านตู้ไม่ว่าธนาคารไหนคุณก็เสียเงินฟรีๆแล้ว 100 บาท Nakoze พบปัญหานี้ เมื่อเงินก้อนสุดท้าย มันโอนมาไม่ทันวันที่ Nakoze กลับ ทำให้ Nakoze ค้างยอดไว้ในบัตรเกือบ 9 พันบาท มากดที่ตู้ไทย ก็คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารปรากฏว่า กดเิงินไป 11 ครั้ง ตู้ขึ้นว่า เงินไม่พอทุกครั้งที่กด ไอ้เราก็ใจเสีย ก็ยอมเสียเงิน 100 บาทเช็คยอดจากตู้ตรงนั้นเลย ปรากฏยอดขึ้นเหลือแค่ ประมาณ 7 พันสุดท้ายคือยอมตัดใจ จาก 9 พัน Nakoze กดออกมาแค่ 6,500 พัน แล้วกลับมาบ้านเช็คยอดผ่านเวปไซต์ ผลปรากฏว่า ..... ตอนที่มันขึ้นว่าเงินไม่พอ แล้วNakoze กดใหม่ มันถือว่าทำรายการก็เลยหักเงิน สุดท้าย Nakoze ฟันค่าโง่ไปบานค่ะ จากที่ควรจะได้ 9,000 บาท สรุป ได้แค่ 6,500 บาท เสียค่าโง่ไปถึง 2,500 บาท
คัดลอกมาจากจากกระทู้คุณ Nakoze http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2011/10/H11223066/H11223066.html เอามาให้เพื่อนๆศึกษากันนะครับ จริงๆแล้วคุณ Nakoze ลงไว้ 50 ข้อ แต่เอาแค่นี้พอครับ เยอะมากๆ
|
|