KhonThai America : คนไทยในอเมริกา

 ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
แท็กยอดนิยม: ภาษาไทย แจก discuz
ดู: 5575|ตอบกลับ: 0
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

15 ข้อผิดพลาดการใช้ภาษาอังกฤษ

[คัดลอกลิงก์]

1188

กระทู้

4

ติดตาม

6160

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ice999 เมื่อ 2015-6-12 13:33




1.JPEG


มาตรวจเช็คกันว่าใครใช้ผิดจำสับสนกันบ้าง มีคำไหนบ้างนั้นต้องตามมาดูกันค่ะ



        1. Your /You're
      
สองคำนี้เวลาออกเสียงจะมีความใกล้เคียงกันอาจทำให้ความหมายเปลี่ยนไปได้ ซึ่งคำว่า “Your” เป็นคำสรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของเช่น This is your teddy bear. (นี้คือตุ๊กตาหมีของคุณ) Your school is very big. (โรงเรียนของคุณใหญ่จัง)ส่วนคำว่า You're นั้นเป็นรูปย่อมาจากคำว่า You are ซึ่งมีความหมายว่า“คุณคือ” ทั้งนี้การออกเสียงของสองคำนี้มีความใกล้เคียงกันแต่เราสังเกตความแตกต่างได้จากบริบทที่เรากำลังสนทนาอยู่เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนได้นั้นเอง
      
      
2. It's / Its
      
อีกหนึ่งการออกเสียงที่แยกไม่ค่อยออกระหว่างIt's กับ Its เพราะออกเสียงเหมือนกันเลยส่วนตัวย่อของ “It's” นั้นเป็นรูปย่อมาจากคำว่า It is, It was และ Ithas ส่วนคำว่า “Its” เป็นคำสรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของว่าคือของมัน เช่น Since you're a member of this sports club, you'll have to conform to itsrules. (เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกของสปอร์ตคลับแห่งนี้คุณจะต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบด้วย) และเพื่อหลีกเลี่ยงการสับสนระหว่างสองคำนี้อาจจะพูด It is แทน It's ไปเลยก็ได้



       3. There / Their / They're
      
คำว่า There และ Their สองตัวนี้ออกเสียงเหมือนกันอย่างแยกไม่ออกแต่ความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะคำว่า There นั้นใช้แทนสถานที่มีความหมายว่า “ที่นั่น” ส่วน Their จะเป็นคำสรรพนามที่ใช้ในการแสดงความเป็นเจ้าของ มีความหมายว่า “ของพวกเขา” เช่น It’s their anniversary next weekส่วนคำว่า They're คำนี้จะออกเสียงเหมือนกับThere และ Their เลยแต่ถ้าออกเสียงชัดๆ ก็จะแยกออกว่าพูดถึง There/ Their หรือ They're
      
ส่วนความหมายนั้นก็คือพวกเขาเป็น/อยู่/คือ เช่น I wonderwho they are (ฉันสงสัยจังว่าพวกเขาเป็นใคร)
      
      
4.Affect / Effect
      
เชื่อว่าสองคำนี้ทำให้ใครหลายคนสับสนอยู่ไม่น้อยอาจใช้ถูกใช้ผิดกันมาบ้าง เพราะทั้งสองคำมีความหมายคล้ายกันและยังออกเสียงใกล้เคียงกันอีกด้วย เรามาดูความแตกต่างของสองคำนี้กัน คำว่า “Affect” นั้นเป็น Verbมีความหมายว่า “กระทบหรือส่งผลต่อ” เช่น This experiment affects to the way of animal (การทดลองนี้มีผลต่อวิถีชีวิตของสัตว์)ส่วน “Effect” เป็นคำนามแปลว่า ทำให้เกิดผล เช่น Smoking had a negative effect on his lungs (การสูบบุหรี่มีผลเสียต่อปอดของเขา)



        5. Then / Than
      
ถึงแม้ว่า Then (เด็น) และ Than (แดน)จะออกเสียงต่างกัน แต่ถ้าพูดเร็วๆ ฟังไม่ดีก็อาจตีความหมายผิดไปหรืออาจจะเขียนผิดไปได้ คำว่า Then นั้นเป็นคำวิเศษณ์หรือที่เรียกว่าAdverb ส่วนความหมายนั้นแปลได้หลายความหมาย อย่างแปลว่านับแต่นั้นเป็นต้นมาในแง่ของเวลา เช่น I had a serious argue with her,she never talks to me again since then. (ผลทะเลาะกับเธอหนักมากแล้วเธอก็ไม่คุยกับผมอีกเลยนับแต่นั้นมา) หรือใช้บอกลำดับขั้นตอนก็ได้เช่นกัน To make a cake, put the flour ina bowl then crack an egg.. (ในการทำเค้ก ให้ใส่แป้งลงในชาม จากนั้นตอกไข่ลงไป)
      
ส่วนคำว่า Than นั้นใช้ในการเปรียบเทียบของสองสิ่งที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันเช่น My mother gets up earlier than I (แม่ของฉันตื่นนอนเร็วกว่าฉันอีก)
      
      
6. Loose / Lose
      
ต่อมาเป็นคำที่ใช้ผิดกันบ่อยเนื่องจากออกเสียงเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่ความหมายนี่สิไม่ได้เหมือนกันเลย คำว่า Loose มีความหมายว่า “หลวม” ในขณะที่ Lose มีความหมายว่า “แพ้หรือทำหาย” เช่น If your pants are too loose, youmight lose your pants. แปลว่า ถ้าหากกางเกงของคุณมันหลวมเกินไป คุณก็มีสิทธิ์ที่จะทำกางเกงหายไปได้นะจ๊ะ(หลวมจนหลุดนั่นเอง หรือกางเกงหายไปจากสะโพกนั่นเอง)



        7. Me / Myself / I
      
ความหมายของ Me และ I แน่นอนว่าแปลว่า “ฉัน” แต่การใช้แตกต่างกัน เพราะ Me เป็นกรรมของประโยค ส่วน I นั้นใช้เป็นประธาน เช่น I love you and you love me (ฉันรักเธอและเธอก็รักฉัน) ส่วน Myself เป็นคำสรรพนาม มีความหมายว่า “ตัวฉันเอง” การใช้ก็คือเมื่อพูดถึงการกระทำที่มีประธาน และ กรรม ของประโยค เป็นคนเดียวกัน เช่น I live by myself (ฉันอาศัยอยู่คนเดียว)
      
      
8. เครื่องหมาย Apostrophe “ ' ”
      
ในภาษาอังกฤษจะเรียกเครื่องหมายวรรคตอนนี้ว่า Apostrophe ซึ่งการใช้เครื่องหมายนี้จะเห็นได้บ่อยๆ ในคำย่อต่างๆ เช่น isn't ย่อมาจาก is not หรือ Don't ย่อมาจากdo not ส่วนตัวอย่างการใช้เครื่องหมายวรรคตอนนี้ก็มีทั้งใช้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของหรือ 's เช่น My uncle's house is at thecorner.(บ้านของลุงของฉันอยู่ตรงมุมนั้น)



       9. Could of / Would of / Should of
      
ความจริงแล้วคำว่า could've , would've และ should've เป็นคำย่อมาจากcould have, would have และ should have แต่เมื่อใช้เป็นภาษาพูดแล้ว ฟังออกมาเสียงดันไปคล้ายกันคำว่า Couldof ,Would of และ Should of ซึ่งไม่มีใครใช้กันและไม่มีความหมาย ดังนั้นเวลาที่เราฟังแล้วเขียนคำนี้ลงไป ก็อย่าเผลอเขียนผิดใส่ Ofข้างหลังคำนะจ๊ะ ถึงแม้ว่าจะออกเสียงออกมาเหมือนกันก็ตาม
      
      
10. Complement / Compliment
      
อีกสองคำศัพท์ที่การออกเสียงเหมือนกันจนแยกไม่ออกหากไม่เอียงหูฟังดีๆ ก็จะออกเสียงคล้ายกันมาก แถมตัวสะกดก็ต่างกันแค่ตัวเดียวในส่วนของความหมายนั้นก็แตกต่างกัน อย่างคำว่า “Complement” เมื่อทำหน้าที่กริยาจะหมายถึง to fill up orcomplete แปลว่า ทำให้สมบูรณ์ และcomplement เมื่อทำหน้าที่นามจะหมายถึง somethingthat fills up แปลว่าสิ่งที่เพิ่มเข้าไปเพื่อทำให้เกิดความสมบูรณ์ History is the complement of geography.(ประวัติศาสตร์เป็นส่วนประกอบของวิชาภูมิศาสตร์)
      
      
ส่วน “Compliment” เมื่อทำหน้าที่เป็นคำกริยาจะหมายถึง to express respect oradmiration แปลว่า การแสดงความเคารพและยกย่องชมเชย และเมื่อทำหน้าที่นาม หมายถึง aformal expression of admiration แปลว่า คำสรรเสริญเยินยอ เช่น She was pleased with hiscompliments. เธอพึงพอใจกับคำชมเชยของเขา



        11. Fewer / Less
      
ความหมายของสองคำนี้ แปลว่า “น้อยลง น้อยกว่า” แต่คำว่า Fewer จะใช้จำนวนที่สามารถนับได้เช่น Robert has written fewer poems since he got a real job. (โรเบิร์ตแต่งกลอนน้อยลงกว่าเดิมตั้งแต่เขาได้งานทำ) ในกรณีนี้ใช้ fewer เพราะว่า poem(โคลงกลอน) สามารถนับจำนวนได้ ส่วน “Less”ใช้กับจำนวนที่นับไม่ได้ตามด้วยคำนามเอกพจน์ เช่น We enjoy less freedom this year than last. (พวกเราเพลิดเพลินกับเสรีภาพปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้ว)
      
      
12. Historic / Historical
      
แน่นอนความสับสนระหว่างความหมายของ Historicและ Historical มักสร้างปัญหาให้หลายคนและหากมองดูแล้วสองคำนี้สะกดคล้ายๆ กัน แถมยังเป็นคำคุณศัพท์ (Adj.) ทั้งคู่ ส่วนความหมายนั้นไม่เหมือนกันซะทีเดียว อย่างคำว่า “Historic” หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในอดีตคำที่เรามักจะเห็นใช้กับ Historic บ่อยๆ ก็มี
      
Historic Change (การเปลี่ยนแปลงที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์)
      
Historic Site/spot (สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์)
      
Historic Speech (การกล่าวสุนทรพจน์ที่เป็นประวัติศาสตร์)
      
      
ส่วนคำว่า “Historical” หมายถึงที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ เรามักจะเห็น historical ใช้ในกรณีอย่าง
      
Historical Figure บุคคลในประวัติศาสตร์
      
Historical Document เอกสารทางประวัติศาสตร์
      
Historical Novel นวนิยายประวัติศาสตร์



        13. Principal / Principle
       สองคำนี้ออกเสียงคล้ายกันมากจนฟังแต่ศัพท์เดี่ยวๆแล้วอาจแยกไม่ออก แต่เมื่อฟังในรูปประโยคก็จะสามารถแยกแยะออกได้โดยดูจากบริบทรอบข้างคำว่า “Principal” เป็นคำนามแปลว่า ผู้มีอำนาจสูงสุดหรือเมื่อเป็นคำคุณศัพท์ก็แปลว่า ซึ่งสำคัญที่สุด เช่น He is the the principal of akindergarten school.(เขาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง) ส่วน Principle แปลว่าหลักการทฤษฎี กฏ หรือหลักศีลธรรมก็ได้ เช่น It's against the principle to accept gifts from clients. (การรับของขวัญจากลูกค้านับเป็นเรื่องที่ผิดกฎ)

          14. Literally
      
หลายคนคงเกิดความสับสนเมื่อเห็นคำนี้ในข้อความว่ามันมีความหมายว่าอะไรกัน?? ซึ่งคำว่า “Literally” จะแปลว่า “ตามตัวอักษร” เช่น I'm literally dying ofshame. ประโยคนี้หากแปลผ่านๆก็แปลว่า ฉันกำลังจะตายเพราะความอับอายอยู่แล้ว แต่คำว่า literally ที่เติมเข้าไป เน้นให้เห็นจริงๆ ว่าคนพูดกำลังอับอายขายขี้หน้าถึงขีดสุด
      
         
15. เรียงคำผิด ความหมายชวนสับสน
      
ข้อผิดพลาดอีกอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยๆนั้นคือการวางคำผิดๆ และมีคำที่แปลได้หลายความหมาย เช่น
       After rotting in the cellar for weeks, my brotherbrought up some oranges. ประโยคนี้มีความหมายตามตัวว่าหลังจากเปื่อยเน่าอยู่ที่ห้องใต้ดินตั้งหลายสัปดาห์พี่ชายของฉันก็ขนส้มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แปลดูแล้วความหมายแปลกๆราวกับว่าพี่ชายเป็นซอมบี้ยังไงอย่างงั้น แต่ที่เรียงประโยคถูกต้องจริงๆ คือMy brother brought up some orangethat had been rotting in the cellar for weeks (พี่ชายขนส้มที่เน่าจากการถูกเก็บลืมไว้ในห้องใต้ดินขึ้นมาจำนวนหนึ่งหรือเอาง่ายๆ ว่า พี่ชายขนส้มเน่าขึ้นมาจากห้องใต้ดินนั่นเอง)




ทีมา http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9570000148296

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

Archiver|WAP|KhonThai America

GMT+7, 2024-12-1 19:02 , Processed in 0.046285 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X2.5  Language by l3eil3oy

© 2001-2012 Comsenz Inc. style by eisdl

ขึ้นไปด้านบน