ภายหลัง เหตุการณ์ 9/11 รัฐบาลสหรัฐ ได้มีการเปลี่ยนแปลง ข้อกำหนด เรื่องการออกวีซ่า ทุกประเภท รวมทั้งวีซ่านักเรียน โดยกำหนดระบบ SEVIS (The Student and Exchange Visitor Information System) ขึ้นมาใช้ ระบบนี้กำหนดว่า โรงเรียนต่างๆ ที่สามารถออก I-20 ให้นักเรียนต่างชาติได้ ซึ่งได้
รับการรับรองจาก DHS จะต้องลิงค์ข้อมูล นักเรียนต่างชาติ ไปที่อิมมิเกรชั่น ดังนั้น ข้อมูลทุกอย่าง เช่นนาดเรียน ย้ายที่อยู่ เปลี่ยนโรงเรียน ไม่ได้ลงทะเบียน ฯลฯ ทางอิมมิเกรชั่น จะสามารถตรวจสอบได้ทันที ระบบนี้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 31 Jan 2003 ส่วนนักเรียน ที่มาเรียนก่อนหน้านั้น เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 Aug 2003
ปกติ ทางสถานทูตจะออกวีซ่าให้นักเรียน 5 ปี แต่ปัจจุบันนี้ มีหลายราย ที่สถานทูต ออกวีซ่าให้ เพียงหนึ่งปี ซึ่งเป็นกรณีที่ ไปเรียนคอร์สสั้นๆ พอคุณเดินทางเข้าอเมริกา ทาง ตม จะเขียนใน I-94 ของคุณว่า D/S (Duration of Status) แต่จะไม่ประทับ วันหมดอายุ เหมือนวีซ่าประเภทอื่น ดังนั้น ตราบใดที่คุณยังคง สถานภาพนักศึกษา ซึ่งระบุใน I-20 คุณก็จะอยู่ไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าคุณเลิกเรียน ถึงแม้ว่า F-1 ของคุณยังไม่หมด แต่คุณไม่ได้เรียนแล้ว เท่ากับวีซ่าขาดทันที ถ้าคุณยังเรียนต่อ แต่ F-1 หมดอายุไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณเดินทางกลับไทย คุณต้องนำ I-20 ที่เป็นปัจจุบัน ไปขอวีซ่า F-1 มาใหม่ค่ะ
เมื่อ ก่อน คนส่วนใหญ่ ชอบขอวีซ่านักเรียนมาอเมริกา หรือมาวีซ่าท่องเที่ยว แล้วมาเปลี่ยน สถานะเป็นนักเรียน โดยการซื้อ I-20 จากโรงเรียนสอนภาษา เพราะผู้ถือวีซ่านักเรียน สามารถจะขอทำใบขับขี่ และขอหมายเลข SSN ได้ ถึงแม้จะเป็น SSN ที่มีตราประทับว่า ห้ามทำงาน ก็ตาม และหลายคนใช้ SSN นี้ทำงานข้างนอก และมีหลักฐาน การหักจ่ายภาษี ซึ่งตรงนี้ไม่เป็นผลดีในระยะยาว เพราะหากคุณทำเรื่อง ขอกรีนการ์ดเมื่อไหร่ ทางการจะทราบทันที ว่าคุณเคยทำงาน ในขณะที่ถือวีซ่านักเรียน ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฏ ที่ทุกคนควรทราบคือ ฐานข้อมูล ของหน่วยงานรัฐบาล หลายหน่วยงาน เชื่อมโยงถึงกันหมด อาทิ USCIS, IRS, SSA, DMV, Department of Justice , ฯลฯ ดังนั้น การคิดจะซิกแซกไม่ควรทำค่ะ
หลัง จากปี 2003 เป็นต้นมา ผู้ถือวีซ่านักเรียนต้องไปเรียน มิฉนั้นคุณจะโดนขึ้นบัญชีดำ ทันที และจะถูกอิมมิเกรชั่น ตามจับถึงบ้าน การนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ปี ที่อิมมิเกรชั่น จะมาตามตัวถึงบ้าน ถึงคุณจะย้ายบ้าน ก็ไม่พ้นความรับผิดชอบ เพราะว่า เป็นความผิดของคุณที่
หนึ่ง... ไม่ไปเรียน ปล่อยให้วีซ่าขาด
สอง... ตามกฏหมายแล้ว หากคุณย้ายที่อยู่ คุณต้องแจ้งย้ายที่อยู่ไปที่ อิมมิเกรชั่นภายใน 10 วันหลังจากย้ายแล้ว ดังนั้น อิมมิเกรชั่นสามารถออกหมาย ดำเนินเรื่องเนรเทศคุณได้ แม้จะยังไม่เจอตัว
ถ้า คุณถือวีซ่านักเรียน อย่าปล่อยให้สถานภาพขาด ถ้าคุณป่วย หรือมีความจำเป็น ต้องขาดเรียน ต้องแจ้งให้ Foreign Student Advisor ที่โรงเรียนทราบทันที เพื่อที่เขาจะได้ไม่รายงานอิมมิเกรชั่น คุณควรศึกษากฏระเบียบ เรื่องการลาของโรงเรียน ให้เข้าใจ เพื่อที่ว่า คุณจะได้ไม่ทำอะไร ที่ผิดเงื่อนไข อันจะเป็นเหตุให้ ทางโรงเรียน รายงานอิมมิเกรชั่นได้
ถ้าคุณต้องการเลิกเรียน และตั้งใจจะแต่งงานกับซิติเซ่น อย่าทิ้งช่วงนาน รีบแต่ง ก่อนที่อิมมิเกรชั่นจะออกหมาย ดำเนินการเนรเทศคุณ ผลพวงของการที่คุณปล่อยให้วีซ่าขาด ก็คือ พอคุณไปแต่งงานกับซิติเซ่น และยื่้นเรื่องขอกรีนการ์ด ทางอิมมิเกรชั่นก็จะพบทันทีว่า คุณมีเรื่องการเนรเทศค้างอยู่ ตรงนี้จะเป็นเหตุ ให้อิมมิเกรชั่นปฏิเสธกรีนการ์ดคุณทันที ในกรณีอย่างนี้ คุณต้องยื่นเรื่อง ขอผ่อนผัน (waiver) พร้อมกับยื่นเรื่อง ขอกรีนการ์ด หากอิมมิเกรชั่นอนุมัติ คำร้องขอผ่อนผันของคุณ ถึงจะเดินเรื่องกรีนการ์ดได้ หลายคน มักจะชอบบอกว่า ใครๆ เขาก็ทำกันได้ ไม่เห็นเป็นไร ตรงนี้ขึ้นอยู่กับจังหวะค่ะ ถ้าวีซ่าขาด แต่อิมมิเกรชั่น ยังไม่ได้ออกหมาย ดำเนินการเนรเทศคุณ คุณก็รอดตัวไป แต่ถ้ามีหมายออกแล้ว กรีนการ์ดคุณ จะโดนปฏิเสธทันทีค่ะ
กรณี ที่ถือวีซ่านักเรียนอยู่ แล้วจะแต่งงาน ส่วนมากจะไม่ศึกษากฏระเบียบให้ดี ทำให้ตัดสินใจผิดๆ ปัญหาหลักๆ ที่ดิฉันเจอบ่อยๆ คือ มีแฟนปั๊บ ก็เลิกเรียนปุ๊บ เพราะถือว่า เดี๋ยวก็ขอกรีนการ์ดได้ ตรงนี้มีสองพวกคือ
แต่ง งานกับซิติเซ่น แต่สามีมีปัญหานุงนัง เช่น ไม่ได้เสียภาษีติดต่อกันหลายปี และไม่อยากจะเสียให้ถูกต้อง สามีกำลังยื่นเรื่องล้มละลาย ทำให้ขาดคุณสมบัติ ในการเป็นสปอนเซ่อร์ หรือสามีเคยมีคดีมาก่อน ทีนี้พอแต่งงานแล้ว มารู้ทีหลัง ก็ทำให้ยื่นเรื่องไม่ได้ เลยเคว้งคว้างอยู่อย่างนั้น ทางที่ดีคือ ศึกษากันให้ดีก่อนแต่งงาน และรักษาสถานภาพนักเรียนเอาไว้ อย่าให้วีซ่าขาด จนกว่าจะได้กรีนการ์ด ซึ่งก็ไม่กี่เดือนเท่านั้น
แต่ง งานกับกรีนการ์ด ปกติการแต่งงานกับกรีนการ์ดนั้น คุณต้องรอถึงห้าปี กว่าจะได้กรีนการ์ด และภายในห้าปีนี้ คุณเดินทาง ออกนอกประเทศไม่ได้ ถ้าไป ก็จะกลับเข้าอเมริกาไม่ได้ ไม่สามารถขอ work permit หรือใบขับขี่ ฯลฯ นอกจากนั้นปัญหาหลัก ที่พบบ่อยมากคือ หลายต่อหลายคู่ เลิกกัน ก่อนที่จะได้กรีนการ์ด ดังนั้น เรื่องก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกตรงที่ วีซ่าขาดไปนานแล้ว กรีนการ์ดก็ไม่ได้ และ้ถ้าไปแต่งงาน และยื่นขอกรีนการ์ดใหม่ ทาง USCIS ก็จะตั้งข้อสังเกตว่า คุณนี่แต่งงาน เพราะอยากได้กรีนการ์ดหรือเปล่า ฯลฯ หลายคนมาปรึกษาว่า จะเลิกเรียนดีไหม ในกรณีอย่างนี้ ดิฉันมักจะ แนะนำให้ยอมเสียเงิน ลงทะเบียนเรียนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้กรีนการ์ด หรือหาทางเปลี่ยน เป็นวีซ่าทำงานก่อนค่ะ เพราะอย่างน้อย ถ้าชีวิตสมรสไปไม่รอด ตัวคุณก็ไม่มีปัญหานุงนังแก้ไม่ตก สามารถตั้งต้นชีวิตใหม่ ได้ง่ายกว่ามากค่ะ
ข้อมูลจาก http://www.lawanwadee.com/freezone/studentvisa1.html