KhonThai America : คนไทยในอเมริกา

 ลืมรหัสผ่าน
 ลงทะเบียน
ค้นหา
แท็กยอดนิยม: ภาษาไทย แจก discuz
ดู: 13185|ตอบกลับ: 0
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

สรุป Grammar ภาษาอังกฤษแบบกระชับ

[คัดลอกลิงก์]

1188

กระทู้

4

ติดตาม

6160

เครดิต

ผู้ดูแลพิเศษ

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ice999 เมื่อ 2016-2-2 20:38

belajar-bahasa-inggris-dasar.jpg



Parts of Speech
ประเภทของคำในประโยคภาษาอังกฤษ
  Verb กิริยา คำที่แสดงการกระทำ เช่น  (to) be, have, do, like,work, sing, can, must
  Noun คำนาม คือคำที่แทนสิ่งต่างๆ เช่น  คน สัตว์สิ่งของ สถานที่ เช่น pen, dog, work, music, town, London, teacher, John
  Adjective คำขยาย(บรรยาย)คำนาม  เช่น  a/an,the, some, good, big, red, well, interesting (มักอยู่หน้าคำนาม)
  Adverb คำขยาย Verb, Adjective หรือขยาย Adverb เอง มักลงท้ายด้วย -ly เช่น quickly,silently, well, badly, very, really (มักอยู่หน้า verb หรืออยู่ท้ายประโยค)
  Pronoun คำสรรพนาม เอาไว้พูดแทนคำนามที่พูดไปแล้ว เช่น  I, you, he,she, some
  Preposition คำบุพบทใช้เชื่อมคำนามกับคำนามอื่น เช่น in,on, at, to, after, under, over, from (มักอยู่หลังคำนามที่มันไปขยาย)
in ใช้กับบอกตำแหน่งแบบกว้างๆ ไม่เจาะจง เช่น in May(เดือน), in 2010(ปี), in Bangkok(จังหวัด), in Thailand (ประเทศ)
on ใช้กับการบอกตำแหน่งแบบเจาะจงยิ่งขึ้น เช่น on Tuesday (วัน), on Sukhumvit Road (ถนน)
at ใช้กับการบอกตำแหน่งแบบเจาะจงที่สุด เช่น at 11:00(เวลา), at Central World (สถานที่เจาะจง)

   Conjunction คำสันธาน เอาไว้เชื่อมประโยค หรือเชื่อมคำ เช่น  and, but,or, nor, for, yet, so, although, because, since, unless
ประโยคในภาษาอักฤษ
การที่จะสร้างประโยคได้ จะต้องประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือ Subject (ประธาน) + Verb (กิริยา)และถ้ากิริยานั้นต้องการกรรมด้วย ก็ต้องมี Object (กรรม) ด้วย
  สิ่งที่จะเป็นประธานของประโยคได้นั้นก็คือคำที่ทำหน้าที่เป็นคำนามเช่น Noun เอง หรือจะเป็น Pronoun ก็ได้  แต่ก็อาจมีตัวมาขยายคำนามซึ่งก็คือ Adjective หรืออาจมีตัวที่จะมาเชื่อมคำนามด้วย ซึ่งก็คือ Preposition
  ส่วนกิริยานั้นจะต้องเป็น Verb ซึ่งก็อาจมีตัวมาขยายซึ่งก็คือ Adverb
  และส่วนที่เป็น Object ก็จะเป็นคำที่ทำหน้าที่เป็นคำนามเช่นเดียวกับประธานของประโยค
  และเมื่อเราต้องการเชื่อมประโยคหลายๆอันเข้าด้วยกัน ก็จะต้องใช้ Conjunction ในการเชื่อมนั่นเอง

คำนาม เอกพจน์ พหูพจน์ การนับคำนาม
  คำนามเอกพจน์จะตามด้วยis/am/has/does/Vเติม s,esเมื่อใช้ Present Simple
  คำนามพหูพจน์จะตามด้วยare/have/do/V ไม่เติม s,esเมื่อใช้ Present Simple
  เวลาใช้นามขยายนามนามตัวหน้าจะห้ามเติม s เด็ดขาด เช่น Vegetable soup
  ถ้าใช้นามขยายนามแล้วนามตัวขยายมีการใช้ร่วมกับตัวเลข จะใช้คำนามเอกพจน์ เชื่อมด้วย – เช่น five-year-oldson
  นามนับได้เอกพจน์ถ้าไม่เจาะจงจะนำหน้าด้วย a,an (กรณีที่คำตามหลังออกเสียง ออ-) หรือใช้ the ในกรณีที่เจาะจง หรือผู้ฟังรู้อยู่แล้วว่าพูดถึงอะไรอยู่
  นามนับไม่ได้ จะถือว่าเป็นเอกพจน์เสมอและจะไม่มีการใช้ a/an นำหน้าด้วย
  นามนับได้เอกพจน์ สามารถนำหน้าด้วย one, each, every
  นามนับได้พหูพจน์ สามารถนำหน้าด้วย two, both, a couple of, a few, several, many, a number of
  นามนับไม่ได้ สามารถนำหน้าด้วย a little, much, a great deal of
  ส่วนตัวที่นำหน้าได้ทั้งนามนับได้และนับไม่ได้คือ not any/no, some, a lot of, lots of,plenty of, most, all
  a few / a little เป็นคำในแง่ดี คือ พอมีอยู่
  few / little เป็นคำในแง่ลบ คือมีน้อยมาก
  other = อันอื่น / another อีกอันหนึ่งจากสิ่งที่พูดถึง / the other(s) อันที่เหลือจากส่งที่พูดถึง

Tense
ภาษาอังกฤษนั้นมีรูปแบบประโยคที่เรียกว่า Tense เอาไว้แสดงเวลาในกรณีต่างๆ กัน โดยจะทำให้ส่วนของ Verb นั้นเปลี่ยนรูปแบบไป(ซึ่ง verb ที่เปลี่ยนไปตาม Tense คือ Verbแท้ของประโยค) แบ่งเป็น 3ประเภทเวลาใหญ่ๆ คือ
ปัจจุบันPresent = V1, อดีต Past= V2, อนาคต Future = Will + V
แต่ละเวลาจะแบ่งออกเป็น3 รูปแบบย่อย คือ
Simple= V (รูปแบบอย่างง่าย),  Continuous = be + Ving (กำลังทำ) , Perfect = Have + V3 (เกิดก่อนอีกอันเวลาไม่สำคัญ)
1.   PresentTenseใช้สำหรับบอกเหตุการณ์ในปัจจุบัน
PresentSimple = ใช้บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำเป็นจริงเสมอ = รูปแบบ คือ S + V1 (ผันตามประธาน) เช่น He watches TV everyday.
PresentContinuous= ใช้บอกเหตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน = S+ is/am/are + Ving [be ผสมกับ V1 ได้ is/am/are]เช่น I am doing myhomework.
PresentPerfect = ใช้บอกว่าได้ทำเหตุการณ์ไปแล้วก่อนหน้านี้โดยไม่ต้องระบเวลาที่แน่นอน(รู้แค่ทำไปแล้ว เวลาไม่สำคัญ) = S + has/have+V3 [เนื่องจาก V1 ผสม have ได้ has/have ] เช่น I have alreadyseen thatmovie.
2.   PastTenseใช้สำหรับบอกเหตุการณ์ในอดีต
PastSimple = ใช้บอกเหตุการณในอดีตที่เกิดแล้วจบในอดีต มักระบุเวลาที่เจาะจงในอดีต = รูปแบบ คือ S + V2 เช่น I walked toschool yesterday.
PastContinuous = ใช้บอกเหตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต (มักใช้คู่กับ Past Simple)= S +was/were + Ving [be ผสม V2 ได้ was/were]เช่น He was sleeping whenI arrived.
PastPerfect = ได้ทำเหตุการณ์ไปแล้วก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์ในอดีตอีกอันหนึ่ง(จึงมักใช้คู่กับ Past Simple Tense) = S + had +V3 [เนื่องจากV2 ผสม Have ได้ Had ] เช่น I had already eaten when they arrived.
3.   FutureTenseใช้สำหรับบอกเหตุการณ์ในอนาคต
FutureSimple = ใช้บอกเหตุการณ์ในอนาคต= รูปแบบ คือ S + will + V1 เช่น It will snow tomorrow.
FutureContinuous = ใช้บอกเหตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต = S +will + be + Ving เช่น He will be sleeping whenwe arrive.
FuturePerfect = ได้ทำเหตุการณ์ไปแล้วก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์ในอนาคต= S + will + have +V3 เช่น I will have already eaten when you arrive.
*S = Subject ประธาน หรือ ผู้กระทำ, V =Verb คือกิริยา หรือคำแสดงการกระทำต่างๆ
**จริงๆ มีรูป Perfect Continuous ด้วยแต่คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้
Auxiliary Verbs กิริยาช่วย
คือVerb ที่ใช้ร่วมกับ Verbหลักในการสร้างประโยค แบ่งเป็น 2  พวกคือ
Primary auxiliaries เช่น Be, Have,Do พวกนี้ยังสามารถทำตัวเป็น Verb แท้ได้ด้วยรวมถึงเป็นตัวที่ประกอบอยู่ใน Tense ต่างๆ ที่จะกล่าวถัดไป
Be : V1= is/am/are , V2 = was/were, V3=been
Have : V1 = has/have, V2 = had, V3= had
Do : V1 = does/do, V2= did, V3 = done
  Modal auxiliaries เช่น can, could, may,might, must, ought, should, will, would พวกนี้ใช้ในการขอร้องบอกความจำเป็น หรือความเป็นไปได้
กิริยาช่วยพวกนี้จะเป็นตัวช่วยในการสร้างประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธด้วย ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป
การสร้างประโยคคำถาม
ให้นำเอาVerb ช่วยที่มีในประโยคบอกเล่ามาสลับไว้หน้าประโยคถ้าในประโยคบอกเล่าไม่มี Verb ช่วย ให้เอา Vพวก Do มาใช้เป็น Verb ช่วยและหลังจากใช้ Verb ช่วยแล้ว Verb จะต้องไม่ผันตามประธานเช่น
  He watches TV everyday. => Does he watch TVeveryday?
  He is doing hishomework. => Is he doing his homework?
  She can speak Thai. => Can she speakThai?
การสร้างประโยคปฎิเสธ
ให้เติมNot หลัง Verb ช่วย ถ้าไม่มี Verb ช่วยให้ใช้ Vพวก Do มาช่วย เช่น
  He watches TV everyday. => He does not watchesTV everyday.
  He is doing his homework. => He is not doinghis homework.
  She can speak Thai. => She can not speak Thai

Tenseที่อาจสับสนกัน
PastSimple VS Present Perfect
  Past Simple จะใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตที่ต้องการระบุว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่? (เวลาเป็นเรื่องสำคัญ)มักใช้กับเวลาที่เจาะจงในอดีต เช่น last year, yesterday
  Present Perfect แค่บอกให้รู้ว่าเกิดขึ้นมาแล้ว นานแค่ไหนหรือเกิดขึ้นมาแล้ว (กี่ครั้ง)มักใช้กับ Since (ตั้งแต่ … )หรือ For (เป็นเวลา … )
FutureTense ใช้ Will หรือ Be going to
เวลาที่เราพูดถึงอนาคตเราสามารถพูดได้ 2 แบบ คือ ใช่ Willไม่ก็ใช้ Be + going to + V1
  ถ้าใช้สำหรับการคาดเดา ใช้ได้ทั้ง 2 แบบ ความหมายเหมือนกัน
  ถ้าใช้กับการวางแผนล่วงหน้า ใช้ be going to จะเหมาะกว่า เช่น I’m goingto paint my bedroom tomorrow
  ถ้าใช้กับความตั้งใจ (สมัครใจ) ใช้ will เช่น Don’t worry. I will help youabout this problem.
การพูดถึงเหตุการณ์อนาคตด้วย TimeClause
TimeClause คือ วลี (ไม่ใช่ประโยค) ที่บ่งบอกเวลา มักมีคำว่า Before,After, When, As soon as, Until
แต่ทว่า Time Clause จะไม่ใช้รูป FutureTense แม้ว่าเวลานั้นจะเกิดในอนาคตก็ตาม โดยจะใช้รูป PresentSimple แทน เช่น
AfterI get home, I will eat dinner. หรือ When Bob comes, we will see him.
ประโยค Passive Voice
ประโยคในภาษาอังกฤษ สามารถเขียนได้ 2 รูปแบบ คือ แบบ Active (เน้นที่ผู้กระทำ)และแบบ Passive (เน้นที่สิ่งที่ถูกกระทำ) โดยจะใช้รูป be + V3 มาผสมกับ Tense เดิม เพราะบางทีเราไม่ต้องการจะพูดว่าใครเป็นคนทำหรือไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำ เราก็ใช้ Passive Voice ได้ เช่น
  Active : Mary helped the boy(S + V2 + O)
  Passive : The boy was helped byMary (S + was/were + V3 + O) [เนื่องจาก V2 ผสมกับBe จะได้ Was/Were]
Verb กลุ่มทำให้…รู้สึก…น่า…
ชื่ออาจจะดูแปลกๆแต่ในภาษาอังกฤษจะมี Verb กลุ่มหนึ่งที่มีวิธีการแปลแปลกออกไป เช่น excite, interest, amaze,bore, amuse, annoy, amaze
Interest= ทำให้สนใจ (รูปปกติ) /be interested in = รู้สึกสนใจ (รูปแบบpassive) / Interesting = น่าสนใจ (รูป Adjective) เช่น
  This book interests me (หนังสือนี้ทำให้ฉันสนใจ)
  I am interested in thisbook (ฉันรู้สึกสนใจในหนังสือเล่มนี้)
  This book is interesting (หนังสือนี้น่าสนใจ)
Gerund และ Infinitive
Gerundคือรูปของ Ving ที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม จะเป็นประธานหรือเป็นกรรมของประโยคก็ได้ เช่น Walking is good exercise (Walking = การเดินเป็นคำนาม)
Infinitive= To + V1 ไม่ผันตามประธาน เป็นการบอกว่าเพื่อที่จะทำอะไร เช่น The police ordered the driver to stop
  คำกิริยาบางคำ ตามด้วย Gerund หรือ Infinitive ความหมายก็เหมือนกันเช่น It began to rain / It began raining
  คำกิริยาบางคำ ตามด้วย Gerund มีความหมายแบบนึง แต่ตามด้วย Infinitiveจะมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง เช่น Remember, Regret, Forget,Try, Stop เช่น Forget + to +v1 จะแปลว่าลืมที่จะทำอะไร แต่ทว่า Forget + Ving จะแปลว่าลืมการกระทำในอดีตไปแล้ว
การใช้รูปกิริยาหลัง Verb บางตัว
Letและ Help จะตามด้วย V1 ไม่ผันเช่น Let me drive your car. (Let เป็น Verbแท้) อย่างไรก็ตาม Help สามารถตามด้วย To+V1ได้ด้วย
ใช้ให้คนอื่นทำงาน
  บังคับให้ทำ : X makes Y do something (ไม่มี to) เช่น She made her son clean his room
  ขอให้ทำ : X has Y do something (ไม่มี to)
  ชวนให้ทำ : X gets Y to do something (มี to) เช่น Jack got hisfriends to play soccer with him after school
  ประธานให้คนอื่นทำอะไรกับบางอย่าง(ประธานไม่ได้ทำเอง) : X get,havesomething done (by Y) (V3) เช่น Ihad my watch repaired (bysomeone)
ในตอนนี้จะเป็นการทำประโยคให้ซับซ้อนขึ้นเช่นมีการใช้ Clauseหรือ อนุประโยคหลายๆตัวเข้ามาผสมด้วย
Clauseมีอยู่ 2 ประเภท คือ
  Independent Clause = หรือ SimpleSentence (ประโยคอย่างง่าย) ซึ่งก็คือ Clause ที่อยู่โดดๆได้ อ่านรู้เรื่อง ซึ่งตัวมันเองก็ถือว่าเป็นประโยคแล้ว มี Subject และ Verb ที่แสดงความหมายโดยสมบูรณ์ เช่น Itwas raining hard. (ฝนกำลังตกหนัก = พูดแค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว)
  Dependent Clause = Clause ที่อยู่โดดๆไม่ได้ ต้องมี Clause อื่นอยู่ด้วยจึงจะประกอบกันเป็นประโยคที่อ่านรู้เรื่องเช่น When we were in Bangkok (เมื่อเราอยู่ที่กรุงเทพ=แล้วไง?? พูดแค่นี้ไม่รู้เรื่อง มันต้องมีประโยคอื่นมาด้วยเช่น เมื่อเราอยู่ที่กรุงเทพ เราชอบไปเที่ยวห้างมาก เป็นต้น)


ประโยคความรวม (Compound Sentence)
เกิดจากการรวมกันระหว่างIndependentClause 2 ตัวขึ้นไป ซึ่งเราจะใช้ Coordinating conjunctions ต่อไปนี้ในการรวมประโยค
Coordinating conjunctions
For (เพราะว่า), And (และ) ,Nor (และแบบปฏิเสธ), But (แต่), Or (หรือ), Yet (แต่), So (ดังนั้น)หรือFANBOYS
โดยคั่นประโยคด้วย“, (คอมม่า)” ตามด้วยคำสันธาน แต่ว่าถ้าประโยคสั้นๆ ก็ไม่ต้องใส่คอมม่าก็ได้โดยที่ Coordinating conjunctions จะเชื่อมคำหรือประโยคที่มีหน้าที่แบบเดียวกันหรือมี tense แบบเดียวกัน เรียกว่าโครงสร้างขนาน (parallel structure)
  The children are energetic and noisy.  =adjective + adjective
  She bought a skirtand a blouse.= noun + noun
  He walked slowly and confidently to the witness stand.  = adverb +adverb
  Swimming and hiking are my favorite summer activities.  =gerund + gerund

คำสันธานคู่(ใช้โครงสร้าง Parallel เช่นกัน)
  Both…and (ทั้ง.. และ…) + V พหูพจน์ => Both my mother and mysister arehere.
  Notonly…but also (ไม่เพียง…. แต่ … ก็ด้วย) + V ตามตัวหลัง=> Not only my mother but also mysister ishere.
  Either…or (อย่างใดอย่างหนึ่ง) + V ตามตัวหลัง =>I’ll take either chemistry or physics next semester.
  Neithernor… (ไม่ทั้งคู่) + V ตามตัวหลัง =>Neither my sister nor myparents are here.


Transitions
Transitionใช้ร่วมกับเครื่องหมาย “; semicolon” (หรือจะใช้เครื่องหมาย. แทนก็ได้) เพื่อบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประโยคให้ชัดยิ่งขึ้น
โดยจะใช้รูปแบบ==> ประโยค 1; transitions, ประโยค2.  หรือ ประโยค 1. Transitions, ประโยค2
  Result: as a result, consequently, therefore,thus
  Contrast :however, onthe other hand, nonetheless, nevertheless
  Time:beforethat, after that, meanwhile, afterward, first
  Addition: moreover, furthermore, in addition
  Condition: otherwise
  Exemplification: for example, for instance
เช่น
  His firstclass begins at 8 AM; therefore, heleaves home at 7:30 AM to get there on time. <= ถ้าใช้ semicolonก็ควรตามด้วยตัวพิมพ์เล็ก เพราะยังไม่จบประโยค
  The tornadodestroyed the entire town. However,no one was killed. <== ถ้าใช้period. ต้องตามด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ เพราะจบประโยคแล้ว
อย่างไรก็ตามเราสามารถโยค Transitionsมาไว้ในประโยคก็ได้  แต่จะขั้นด้วย commaแทน เช่น
The president promised a quick victory. Victory,however,was not easily won.

ประโยคความซ้อน (Complex Sentence)
เป็นการรวม Independent Clause และ Dependent Clause เข้าด้วยกัน ด้วยSubordinating conjunctions เช่น Adverb Clause และ Adjective Clause


AdverbClause
เราจะรวมAdverbClause ซึ่งถือว่าเป็น Dependent Clause เข้ากับIndependent Clause ด้วยเครื่องหมาย “,คอมม่า”
While I was walking home, it began to rain.
หรือถ้าสับที่ ก็ไม่ต้องมีคอมม่าแล้ว => It began to rain while I was walking home,
คำที่ใช้ขึ้นต้นAdverbClause
  time (เวลา): before, after, as soon as, since,until, while, whenever
  reason (เหตุผล): as, because, since
  condition (เงื่อนไข): as if, even if, if, unless
  contrast (ขัดแย้ง): although, even though, despite thefact that, whereas
  purpose (บอกจุดประสงค์) : in order that, so that
  manner : as if, as though
เช่น Although Jay has a Master’s degree, he works as a storeclerk.


If Clause ประโยคเงื่อนไข
มีอยู่3 รูปแบบ คือ
  เป็นไปได้จริง เป็นเหตุเป็นผล: Ifpresent simple, future simple
เช่น If it rains tomorrow, I will stay at home. (ถ้าฝนตกเราจะอยู่บ้าน <= เป็นเรื่องที่ทำได้)
  บอกเรื่องที่เป็นไปได้ยากหรือสมมติเหตุการณ์อีกแบบที่ไม่ได้เกิดขึ้น: if pastsimple, would + simple
เช่น If I were you , I would go to study abroad. (แบบนี้จะใช้ were แทน was ด้วยแม้จะเป็นประธานเอกพจน์)
  เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตรงข้ามกับความจริงในในอดีต: if past perfect, would have + V3
เช่น If Ihad found her address, I would have sent her an invitation.

AdjectiveClause
Adjective Clause ก็คือ Dependent Clause ที่ทำหน้าที่ขยายนาม(ซึ่งตัวมันก็คือ Adjective) ในภาษาไทยก็เทียบได้กับคำว่าซึ่ง…. ที่….. เช่น คนที่ฉันเจอเมื่อวาน ชอบกินกบเป็นต้น ซึ่งถ้าเรารู้วิธีใช้คำพวกนี้ เราก็จะสามารถใช้ประโยคที่ซับซ้อนขึ้นได้
คำที่สามารถใช้ได้มีดังนี้
Relative pronouns เช่น who ใช้กับคน, which ใช้กับสิ่งของ, thatใช้ได้ทั้งคนและสิ่งของ, whose แสดงความเป็นเข้าของ, where ใช้กับสถานที่, when ใช้กับเวลา, whom ใช้กับคนที่เป็นกรรม(แต่เดี๋ยวนี้ก็ใช้ whoเหมือนกัน)  เช่น
  I thank the woman. +She helped me => I thanked the woman who helped me (ขยาย woman)
  Thebook is mine + It is on the table => The book that is on the table is mine (ขยาย book)
  I know the man +His bicycle was stolen => I know theman whose bicycle was stolen.
ถ้าใช้which, that, who,and whom ขยายกรรมเราสามารถละที่จะไม่พูดได้ เช่น
  The man was Mr. Jones. + Isawhim. => Theman who(m) I saw was Mr. Jones. => The man I saw was Mr. Jones.
ถ้าใช้ขยายกรรมที่ต่อจาก preposition เราต้องเก็บpreposition เอาไว้ด้วยเช่น
  The musicwas good + We listened to it last night => The music to which we listened last night was good หรือThe music whichwe listened to lastnight was good => The music welistened to lastnight was good
การลดรูป Adjective Clause ( ReducedAdjective Clause)

  ถ้ามี verb to be ให้ตัดRelative pronouns และ V to be ออกเช่น
The car whichis left on thestreet is broken. (Adjective clause)
–>The car left on the street is broken. (Adjective phrase)
The man, whowaswaitingfor you, comes from Arizona.
–>The man, waiting for you, comes from Arizona.
  ถ้าไม่มี Verb to be ให้ตัดRelative pronouns ออกและเปลี่ยน Verb ให้เป็นรูปVingเช่น
The man whocame yesterdayknows how to repair the faucet. ลดเป็น
–>The man coming yesterday knows how to repair thefaucet.

ในทางกลับกันถ้าเราเห็นประโยคที่ลดรูปไปแล้ว เราก็จะเข้าใจมากขึ้นว่ามันมาจากไหน เช่น
  The teacher punishes anyone breaking the rules. (=…anyone who breaksrules.)
  I live in a building having forty storeys. (=….buildingwhich has forty…)
  The house painted in red is where John lives. (= Thehouse which is painted in red….)
  People invited are expected to be formally dressedfor the occasion. (= People who are invited …..)

NounClause
NounClause ก็คือกลุ่มคำที่ทำหน้าที่เป็นคำนามอาจจะใช้เป็นประธานหรือกรรมของประโยคก็ได้
NounClause ที่ขึ้นต้นด้วยคำสร้างคำถาม เช่น When, Where, Why,How, Who, What, Which, Whose
(สังเกตว่าจะไม่มีการสับ verb ช่วยมาไว้ข้างหน้าเหมือนประโยคคำถาม เช่น where she is. ไม่ใช่ whereis she?)
  I don’tknow where she lives. (where she lives เป็น Nounclause ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยา know)
  Please tellmewhat happened.
  What she said surprised me.
NounClause ที่ขึ้นต้นด้วย Whether หรือ ifซึ่ง ใช้เมื่อเมื่อคำตอบเป็นได้ 2 แบบ คือ ใช่หรือ ไม่ใช่ ไม่ได้เกี่ยวกับ if clause นะ
  I don’tknow whether she will come[or not].(ใช้ if แทน whether ได้เลยแต่จะออกเป็นภาษาพูดมากกว่า)
  หรือจะสลับที่Idon’t know whetherornotshewill come.
NounClause ที่ขึ้นต้นด้วย That (เป็นแบบที่เจอบ่อยพอสมควร)
  I thinkthat he is a good actor (เป็นกรรม)
การแปลงQuotedSpeech ==> Reported Speech
  Shesaid, “I watchTV every day.” ==> She said (that) shewatched TV everyday
[ ต้องเปลี่ยน I ในประโยคคำพูดให้เป็น Sheและเปลี่ยน Tense ให้กลายเป็นเหมือน Shesaid (Past Simple) ด้วย
อย่างไรก็ตาม ถ้าในประโยคเป็นเรื่องจริงทั่วไป ก็ใช้เป็น Presentsimple ได้ เช่น She said that the world isround ]
  She said,“Do you watch TV?” ==> She asked (me) if I watched TV.
[เปลี่ยน said เป็น asked เนื่องจากในประโยคคำพูดเป็นการถามเรา]


ขอบคุณที่มา http://www.siraekabut.com/2011/05/english-grammar-summary-part1/

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

Archiver|WAP|KhonThai America

GMT+7, 2024-12-1 19:32 , Processed in 0.044636 second(s), 25 queries .

Powered by Discuz! X2.5  Language by l3eil3oy

© 2001-2012 Comsenz Inc. style by eisdl

ขึ้นไปด้านบน